Page 260 - kpi15476
P. 260

การประชุมวิชาการ
                                                                                          สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15   259


                      ราชาธิปไตยกับความกลัว



                            กล่าวโดยเฉพาะในประเด็นราชาธิปไตยและประชาธิปไตยที่กำลังวิเคราะห์อยู่ในขณะนี้

                      ความกลัวน่าจะมาจากฝ่ายราชาธิปไตยมากกว่า ถ้าพิจารณาข้อมูลในปัจจุบัน ประเทศในระบอบ
                      ราชาธิปไตยเกือบทั้งหมดก็เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและไม่มีแนวโน้มว่าจะกลับสู่ระบอบ
                      สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในบรรดาประเทศประมาณ 200 ประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การ

                      สหประชาชาติ มีประมาณ 40 ประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุข ในจำนวนนี้ 15 ประเทศอยู่ใน
                      เครือจักรภพซึ่งยอมรับในเชิงสัญลักษณ์ว่ากษัตริย์ของอังกฤษทรงเป็นประมุขของประเทศของตน

                      ในทางประวัติศาสตร์ ตลอดช่วงหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีประเทศประมาณ 20 ประเทศที่เปลี่ยน
                      จากราชาธิปไตยเป็นสาธารณรัฐ ขณะที่มีเพียง 3 ประเทศที่ก่อตั้งระบอบราชาธิปไตย (ซาอุดิ
                      อาราเบีย) หรือฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตย (สเปนและกัมพูชา)  ขึ้นมา
                                                                              8

                            จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ฝ่ายราชาธิปไตยในประเทศไทย จะมีความกลัวภัย ทั้งมรณภัย
                      (การสูญสลาย) และทุคติภัย (การเดินสู่ทางที่ผิด) ในอนาคต ฝ่ายประชาธิปไตยสมบูรณ์อาจ

                      ถือว่าตนอยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนี้ ฝ่าย
                      ประชาธิปไตยกลับจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่จะไม่สร้างวาทกรรมหรือมีการกระทำที่ไป

                      ตอกย้ำความกลัวของฝ่ายราชาธิปไตย ส่วนฝ่ายราชาธิปไตยก็พึงระวังว่าจะเข้าลักษณะ ‘การทำให้
                      การทำนายของตนเป็นจริงเสียเอง’ (self-fulfilling prophecy) หมายถึงการทำนายว่ามีศัตรู
                      แล้วไปเบียดเบียนเขาจนเขาต้องตอบโต้ จนเกิดความเชื่อมั่นเหมาะว่าการตอบโต้พิสูจน์คำทำนาย

                      ว่าเขาเป็นศัตรูจริง


                            อันที่จริง ส่วนมาก ‘ศัตรู’ อาจได้แก่ตัวเราเอง ดังตัวอย่างความระแวงดังกล่าว อีกด้านหนึ่ง
                      คือความแข็งตัวทางความคิด รับฟังและเชื่อแต่ฝ่ายตน ไม่รับฟังฝ่ายอื่น ซึ่งหมายถึงผู้เห็นต่าง

                      รวมทั้งกัลยาณมิตรผู้ไม่ประจบประแจง สุลักษณ์  เขียนเล่าถึงสมัยสิ้นราชวงศ์โรมานอฟแห่ง
                                                                     9
                      รัสเซียว่า “ทราบแต่ว่าเมื่อเสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ 6 แลพอทรงทราบว่าสมาชิกในราชวงศ์
                      โรมานอฟถูกประหารชีวิตไปเสียมาก ถึงกับตกพระราชหฤทัย ตรัสถามพระราชอนุชาถึงเหตุผล

                      ต้นปลาย ทูลกระหม่อมเล็กกราบทูลว่า ที่สุดแห่งราชวงศ์โรมานอฟนั้นเกิดมาแต่ความผิดของ
                      พระเจ้าซาร์เอง เพราะมัวทรงรับฟังแต่จากปากคำพวกหัวเก่าที่เป็นฝ่ายจารีตนิยม ที่จริงคนพวกนี้

                      เป็นฝ่ายพระราชาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ต้องทรงฟังคำสรรเสริญเยินยอของพวกนี้เลย เพราะความ
                      อยู่ดีกินดีของพวกนี้ขึ้นอยู่กับสถาบันกษัตริย์ เสียดายที่พระเจ้าซาร์ไม่ทรงฟังพวกหัวก้าวหน้า
                      พวกนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพระบารมีพระเจ้าแผ่นดิน หากเขาต้องการความไพบูลย์ของประเทศ

                      ชาติและประชาชน ถ้าพระราชาฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนพวกนี้ แล้วปรับสถานะของสถาบัน
                      กษัตริย์ให้สอดคล้องกับคำวิจารณ์ของพวกหัวก้าวหน้า พวกนี้ก็จะหันมาเข้าข้างพระราชา จักได้

                      เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยไม่แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น พระราชวงศ์ก็ยังดำรงอยู่ได้


                         8   นาธาเนียล ฮาร์ริส เขียน โคทม อารียา แปล, 2555; ระบอบการปกครอง: ราชาธิปไตย; กรุงเทพฯ ปาเจรา,
                      น. 24-30                                                                                           เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย

                         9   ส.ศิวรักษ์ แปลและเรียบเรียง, 2536; ความเข้าใจในเรื่องราชาธิปไตย; กรุงเทพฯ, บริษัทส่องสยาม. น. 62-3
   255   256   257   258   259   260   261   262   263   264   265