Page 262 - kpi15476
P. 262

การประชุมวิชาการ
                                                                                          สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15   2 1


                            ในการเปรียบเทียบความเห็นระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐกับฝ่ายราชาธิปไตยนั้น นาธาเนียล
                      ฮาร์ริส  ได้เสนอความเห็นของฝ่ายสาธารณรัฐดังนี้
                            11

                               “ผู้นิยมสาธารณรัฐเกือบทั้งหมดไม่ได้ต่อต้านราชาธิปไตยเพียงเพราะความประพฤติ
                         ของกษัตริย์รายพระองค์ พวกเขาเชื่อว่าราชาธิปไตย รวมทั้งราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ

                         ล้วนไม่ถูกต้องในหลักการ ด้วยมีพื้นฐานบนแนวคิดที่ว่า ‘เลือดเจ้า’ (royal blood) คือ
                         สิ่งพิเศษ เป็นที่แน่ชัดว่ากษัตริย์เป็นบุคคลพิเศษ (เพียงเพราะได้รับการขัดเกลาด้วยชีวิต

                         ที่มีอภิสิทธิ์แและความมั่งคั่งเท่านั้น) เกือบทุกคนในปัจจุบันเห็นพ้องว่าตำแหน่งหน้าที่ของ
                         บุคคลในโลกนี้ ควรใช้บรรทัดฐานที่การทำงาน ความสามารถ และผลงาน แต่บรรดา
                         กษัตริย์และสมาชิกในราชวงศ์ ล้วนได้รับตำแหน่งหน้าที่มาด้วยเหตุบังเอิญแห่งการสมภพ

                         ... จึงมีการให้เหตุผลว่า ระบอบราชาธิปไตยสนับสนุนสังคมทัศน์และโลกทัศน์ที่ผิดทางและ
                         ล้าสมัย”


                            ส่วนฝ่ายราชาธิปไตยให้เหตุผลถึง “ความสำคัญของประเพณีที่ยึดเหนี่ยวสังคมไว้ด้วยกัน ...
                      การที่คนธรรมดาแสดงความรู้สึกจงรักภักดีอย่างแรงกล้าต่อบุคคลในราชวงศ์นั้น เป็นการ

                      แสดงออกที่เป็นธรรมชาติและทรงคุณค่า ... ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ความรู้สึกทางจิตใจย่อม
                      มีศูนย์รวมที่ตัวผู้นำ”


                            มารค  ได้วิเคราะห์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
                                 12
                      ไว้อย่างแยบยล เขาเริ่มด้วยการวิเคราะห์เหตุผลรองรับระบอบประชาธิปไตยโดยทั่วไป เพื่อตอบ

                      คำถามว่า การมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทำให้คุณค่าใดขาดหายไปหรือไม่ เขาพบคำตอบ
                      ว่าไม่น่าจะมีคุณค่าใดขาดหายไปเว้นแต่ว่าพลเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองระบอบนี้ไม่มี

                      ความอิสระทางศีลธรรมเพียงพอ แต่การปกครองระบอบนี้สามารถแก้จุดอ่อนนี้ได้ “โดยที่
                      พระมหากษัตริย์ทรงให้โอกาสพลเมืองไตร่ตรองตัดสินเรื่องต่างๆ เชิงบรรทัดฐานซึ่งเกี่ยวกับวิธีอยู่
                      ร่วมกันในสังคมโดยไม่ครอบงำในเรื่องเฉพาะแต่ละเรื่อง แต่ให้แต่ละคนคิดในกรอบใหญ่ของ

                      ศาสนาหรือระบบจริยธรรมของตนเอง” ในอีกด้านหนึ่ง การมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอาจ
                      แก้จุดอ่อนประการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยโดยทั่วไปได้ “โดยที่องค์พระมหากษัตริย์เป็นจุด

                      ส่งต่อความห่วงใยที่ทั่วถึง ศักยภาพนี้จะกลายเป็นจริงในระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์
                      ทรงเป็นประมุข ที่องค์พระมหากษัตริย์มีคุณลักษณะสองอย่างคือ เป็นที่รักของประชาชนทั้งปวง
                      และแสดงความรักและห่วงใยต่อทุกส่วนของพลเมืองจนเป็นที่ประจักษ์ ในระบอบการปกครองฯ

                      ที่ศักยภาพนี้เป็นจริง คุณค่านี้จะเป็นพลังที่รักษาระบอบการปกครองนี้ไว้ที่มากกว่าและยั่งยืนกว่า
                      ประเพณีนิยมและการเน้นเพียงพิธีกรรมต่างๆ” สิ่งที่เป็นเสมือนคำเตือนจากมารคคือ หากองค์

                      พระมหากษัตริย์ขาดข้อหนึ่งข้อใดในคุณลักษณะทั้งสอง ความได้เปรียบของระบอบการปกครองฯ
                      นี้ก็จะหายไปด้วย อย่างไรก็ดี มารคก็มีคำเตือนสำหรับผู้นิยมสาธารณรัฐด้วย “สถาบันกษัตริย์


                         11   นาธาเนียล ฮาร์ริส; อ้างแล้ว น. 31-3

                         12   มารค ตามไท, 2543; การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข; วิถีสังคมไท:   เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
                      สรรนิพนธ์ทางวิชาการเนื่องในวาระหนึ่งศตวรรษ. ปรีดี พนมยงค์ จรัญ โฆษณานันท์ บรรณาธิการ; กรุงเทพฯ,
                      สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, น. 92-107
   257   258   259   260   261   262   263   264   265   266   267