Page 342 - kpi15476
P. 342
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15 341
ความเสมอภาคและเป็นธรรมภายในระบบราชการ เป็นต้น (Bidhya Bowornwathana 2000 :
401)
ส่วนหนึ่งพิทยาได้อธิบายว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลักคิดของการดำเนินการปฏิรูประบบ
ราชการของไทยภายใต้กรอบธรรมาภิบาลมักจะมีลักษณะดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพราะ
“ความง่าย” โดยพิทยาได้อธิบายว่า ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นไปที่ผลผลิตมากกว่าผลลัพธ์และ
ผลกระทบ หรือการเน้นประเด็นประสิทธิภาพก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ง่าย
กว่า การนำไปปฏิบัติง่ายกว่า วัดหรือประเมินผลของการดำเนินการได้เป็นรูปธรรมก็ง่ายกว่า
ซึ่งแน่นอนว่าการอธิบายหรือทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงหรือปฏิรูประบบราชการสู่วง
สาธารณะก็จะทำได้ง่ายกว่าด้วย (Bidhya Bowornwathana 2000 : 399-401)
การเปลี่ยนแปลงของดุลความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองและข้าราชการ
ประจำ
นับเป็นห้วงเวลากว่า 4 ทศวรรษภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475
ที่การเมืองไทยได้รับการให้คำนิยามจากนักวิชาการตะวันตกว่ามีลักษณะเป็นการเมืองแบบ
“อำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity)” ซึ่งหมายความว่าระบบการเมืองของไทยเป็นระบบที่มี
ลักษณะค่อนข้างปิด โดยแทบไม่เปิดโอกาสให้พลังจากภายนอกระบบราชการได้เข้าไปมีบทบาทใน
ทางการเมืองและการกำหนดนโยบายที่สำคัญของประเทศ (Riggs 1966) ซึ่งแน่นอนว่าภายใต้
บริบททางการเมืองเช่นว่านี้ เราคงจะคาดหวังที่จะเห็นถึงความโปร่งใส ความรับผิดชอบ หรือ
ความสามารถในการสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนจากกลไกระบบราชการ อันเป็น
สาระสำคัญของหลักธรรมาภิบาลไม่ได้มากนัก
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศทางการเมืองแบบอำมาตยาธิปไตยเริ่มผ่อนคลายลงตั้งแต่ในช่วง
รัฐบาล พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ดังที่งานศึกษาของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้แสดงให้เห็นว่า
ในช่วงรัฐบาล พล.อ. เปรม รัฐได้เปิดโอกาสให้กลุ่มผลประโยชน์ อันได้แก่ สมาคมทางด้านธุรกิจ
การค้าจำนวนหนึ่งได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับรัฐในการกำหนดนโยบายบางเรื่องทางด้านเศรษฐกิจ
ทำให้มองได้ว่าการเมืองไทยในช่วงเวลานั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับตัวแบบ “ภาครัฐ-สังคมแบบเสรี
(Liberal Corporatism)” เสียมากกว่าที่จะมีลักษณะเป็นอำมาตยาธิปไตยดังเช่นในช่วงระยะเวลา
ก่อนหน้านั้น (Anek Laothamatas 1992) จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงทางการ
เมืองในช่วงเดือนพฤษภาคม 2535 ซึ่งภายหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว การเมืองไทยจึงได้ก้าวเข้า
สู่ยุคของการปฏิรูปทางการเมือง เพื่อให้การเมืองพัฒนาไปในทิศทางของการเป็นประชาธิปไตย
แบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) ที่เน้นบทบาทของประชาชน และการเสริมร้างธรรม
ภิบาลในทางการเมืองและการบริหาร ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในส่วนก่อนหน้านี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ถือได้ว่าเป็นผลผลิตของกระบวนการ
เรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองในช่วงหลังปี พ.ศ. 2535 พร้อมๆ กับสามารถถูกมองได้ว่าเป็น
เสมือนเครื่องมือและแนวทางที่จะนำไปสู่การเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตย ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
ก่อนหน้านี้ว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มีเป้าหมายที่สำคัญอยู่ประการ