Page 392 - kpi15476
P. 392

การประชุมวิชาการ
                                                                                          สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15   391


                      จัดสรรให้กระทรวงกลาโหมสูงสุด รองลงมาคืองบของสำนักพระราชวัง ซึ่งงบการศึกษา 3 % นั้น
                      จนนักประวัติศาสตร์อย่าง David K. Wyatt เห็นว่าไม่เกิดเป็นผลที่ควร คือ จัดการศึกษาได้เป็น

                      ส่วนน้อยเท่านั้นไม่ทั่วถึงพื้นที่ต่างๆอย่างกว้างขวาง

                            ในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องปูพื้นฐานการศึกษาพื้นฐานของ

                      ประชาชนเพื่อเข้าใจและเตรียมความพร้อมไปสู่ประชาธิปไตย เพื่อจะได้ออกเสียงเลือกตั้งบน
                      พื้นฐานความรู้ความเข้าใจจริงๆ ซึ่งถ้าเราอ่านบันทึกที่พระองค์เขียนถึง Dr. Francis B. Sayre

                      หรือพระยากัลยาณไมตรี เรื่องปัญหาของประเทศสยามตั้งแต่ปีแรกๆ ที่เสด็จขึ้นครองราชย์ และ
                      บันทึกบางฉบับถึงคณะอภิรัฐมนตรี จะเห็นว่า ทรงมองเห็นแล้วว่า ระบอบประชาธิปไตยจะต้องมา
                      ถึงในไม่ช้าอย่างแน่นอน ดังที่ทรงมีบันทึกถึงที่ปรึกษาชาวต่างประเทศว่า “วันเวลาของระบอบ

                      สมบูรณาญาสิทธิราชนับวันจะเหลือน้อยลง” จึงทรงเร่งให้คณะทำงานด้านกฎหมายของพระองค์
                      ออกพระราชบัญญัติที่จะขยายพื้นฐานทางการศึกษาทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพของประชาชน

                      ดังนี้

                            ก)   ทรงตราพระราชบัญญัติแก้ไข พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930)

                                ขยายการศึกษาให้ครอบคลุมพื้นที่เพิ่มอีก ถึง 76.70% เพิ่มจากเดิมคือ 45.75%
                                ที่เคยจัดการศึกษาได้ใน พื้นที่ 2,311 อำเภอ ได้ทรงขยายเพิ่มเป็น 3,811 อำเภอใน

                                รัชสมัยของพระองค์ จนกระทั่งต่อมาเกิดมีวิกฤติเศรษฐกิจจึงต้องลดงบประมาณลงมาบ้าง

                            ข)  ทรงยกเลิกเงินศึกษาพลี ซึ่งเป็นภาษีการศึกษาที่เก็บในท้องถิ่นสำหรับชายในวัย 18-60

                                ปีที่มีลูกหลานในวัยเรียนซึ่งมีอยู่ในมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ.
                                2464 (ค.ศ. 1921) เพื่อนำมาใช้จ่ายเป็นค่าจ้างครูในโรงเรียนประชาบาล เพราะทรง

                                เห็นว่าไม่เป็นธรรมและเป็นยุคข้าวยากหมากแพงอยู่แล้ว และให้ทรงตั้งงบประมาณขึ้น
                                ชดเชยให้


                            ค)  ทรงตราพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติการศึกษาเอกชน พ.ศ. 2473 หรือ ค.ศ.
                                1930 ซึ่งในสมัยนั้นมีโรงเรียนเอกชนอยู่ 3 ประเภทคือ โรงเรียนของพวกมิชชันนารี

                                โรงเรียนไทยในวัด และโรงเรียนจีน ซึ่งเดิมอนุญาตให้ดำเนินการได้โดยใช้หลักสูตรและ
                                ตำราเรียนตามความสะดวก แต่พระราชบัญญัติการศึกษา ที่ทรงแก้ไขใหม่ทำให้ต้องใช้

                                หลักสูตรที่มีมาตรฐานเหมือนโรงเรียนของรัฐบาล และยังได้เสด็จไปเยี่ยมเยียน
                                ตรวจตราให้กำลังโรงเรียนเอกชนเหล่านั้นในชนบทอีกด้วย


                             ง)  ทรงให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงโครงการฝึกอบรมครูทั้งประเภทก่อนประจำการ
                                และขณะประจำการ โดยแยกเป็นการอบรมครูประถมและมัธยม สายศิลปะและสาย
                                วิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ เพราะปรากฏว่าครูที่ทำงานในโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้จบจาก

                                โรงเรียนฝึกหัดครู


                             จ)  ทรงให้ปรับปรุงการบริหารในกระทรวงศึกษาและธรรมการ ให้ยุบรวมหน่วยงานบาง                    เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
                                หน่วยตามนโยบายปรับลดงบประมาณ และเพิ่มกรมวิชาการและตำราเรียน และฝ่าย
   387   388   389   390   391   392   393   394   395   396   397