Page 395 - kpi15476
P. 395
394 การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15
ในปัจจุบัน แนวคิดเรื่อง Home school ก็เป็นแนวคิดที่สำคัญ และดำเนินการอยู่ใน
หลายประเทศ และเป็นที่ยอมรับในระบบการศึกษาของหลายประเทศด้วย
ฌ) ทรงส่งเสริมการศึกษาสตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงเห็นตัวอย่าง
ของศักยภาพและความสามารถของสตรีไทยในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์มาตั้งแต่ทรง
พระเยาว์ โดยเฉพาะสมเด็จพระราชมารดา และเมื่อเสด็จไปประทับที่ยุโรป ก็เป็นยุค
สมัยที่สิทธิสตรีได้รับการยอมรับสนับสนุนมากขึ้นในหลายประเทศในยุคนั้น
ในประเทศไทยนั้น สตรีไทยแต่เดิมได้เล่าเรียนความรู้ในด้านหนังสือเฉพาะสตรีชั้นสูงใน
วังเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น จนในรัชกาลที่ 4 จึงได้มีการยอมรับที่จะให้เด็กหญิงสามัญชน
สามารถเล่าเรียนทางหนังสือตามสำนักเรียนในวัดต่างๆได้ ต่อมาใน พ.ศ. 2417
โรงเรียนสตรีแห่งแรกในประเทศสยามเกิดขึ้นโดยคณะมิชชันนารีชาวอเมริกันได้ก่อตั้ง
“โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง” (โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) หลังจากนั้น ก็ได้เกิดโรงเรียน
สำหรับเด็กผู้หญิงขึ้นอีกหลายแห่ง เช่นใน ปี พ.ศ. 2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอม-
เกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “โรงเรียนสุนันทา” ขึ้น ที่ปากคลอง
ตลาด เพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทา กุมารีรัตน์ แต่ตั้งอยู่ไม่นานก็มี
อันต้องเลิกล้มไป จนถึงปี พ.ศ. 2440 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “โรงเรียนเสาวภาผ่องศรี” ขึ้น จากพระนามเดิมของพระองค์
ตรงบริเวณที่เป็นวังของพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ข้างโรงเรียนราชินี
ปากคลองตลาดในเวลานี้ ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนไป-กลับ ต่อมาในปี 2444
“โรงเรียนบำรุงสตรีวิชา” โรงเรียนสตรีของรัฐบาลแห่งแรกก็ได้เปิดที่บ้านเดิมของ
ขุนหลวงพระยาไกรสีห์ (เปล่ง เวภาระ) ที่ตำบลบ้านหม้อ (โรงเรียนเสาวภาผ่องศรี
ในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2448 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถได้โปรดฯ ให้ตั้ง
โรงเรียนสตรีขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่บริเวณตึกมุมถนนอัษฎางค์กับถนนจักรเพชร ตำบล
ปากคลองตลาด แล้วพระราชทานนามว่า “โรงเรียนราชินี” แต่ในเวลาต่อมา ได้ย้ายไป
อยู่ที่ข้างวังหน้า ข้างวังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ตรงข้ามกับ
โรงพยาบาลทหารบก ที่ถนนพระอาทิตย์ จนถึงปี พ.ศ. 2449 จึงย้ายมาอยู่ที่ตึก
สุนันทาลัยปากคลองตลาด หรือในสถานที่ตั้งปัจจุบันนี้เอง
ในรัชกาลที่ 7 ทรงเห็นว่าสตรีไทยยังขาดการศึกษาระดับสูงกว่ามัธยมอยู่มาก ทำให้
เด็กหญิงที่มีสติปัญญาดีเมื่อเรียนจบมัธยมไม่ได้พัฒนาศักยภาพต่อเนื่อง หลังจากที่ได้
ทรงเปิดสาขาวิชาในระดับปริญญาขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้วและเปิดรับ
เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย นอกจากนี้รัชกาลที่ 7 ทรงส่งเสริมการศึกษาสตรีจากบุคคลใกล้พระองค์ก่อน เมื่อทรง
นักศึกษาไม่จำกัดเพศ ก็ปรากฏมีสตรีสมัครเข้าเรียนจำนวนมาก โดยเฉพาะวิชาแพทย์
มีผู้หญิงสมัครเข้าเรียน 7 คนในปี ค.ศ. 1927 โดยสามารถจบการศึกษาตามระยะเวลา
ที่หลักสูตรกำหนดไว้ จำนวน 3 คน และจบในปีต่อมาอีก 2 คน
สมรสนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงมีพระชนมายุเพียง 14 และได้รับการ