Page 553 - kpi17968
P. 553
542
“ผู้ทำสงครามรุกราน” โดยบัญญัติให้การกระทำของบุคคลดังกล่าวเป็นความผิด
อาญาที่มีโทษประหารชีวิต และให้ศาลฎีกาเป็น “ศาลอาชญากร สงคราม”
ที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามพระราชบัญญัตินี้ ปรากฏว่าศาลฎีกาใน
คำพิพากษาที่ฎีกาที่ 1/2489 พิพากษาว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลเป็นการ
ลงโทษบุคคลย้อนหลัง จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะ ส่วนอำนาจของ
ศาลฎีกาที่จะวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชบัญญัตินี้ ซึ่ง
รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจศาลฎีกา ในมาตรา 62 ของรัฐธรรมนูญกลับบัญญัติ
อีกว่า “สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งสิทธิในการตีความแห่งรัฐธรรมนูญ”
ศาลฎีกาโดยหลวงจำรูญเนติศาสตร์ ผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งในเวลาต่อมาเป็น
ประธานศาลฎีกาที่ได้รับยกย่องว่าเป็นนักกฎหมายยิ่งใหญ่ของไทยก็ได้เหตุผลใน
ทำนองเดียวกับเหตุผลในคดี Marbury v. Madison ว่า “ในการใช้หรือบังคับตาม
กฎหมายนั้น ศาลย่อมต้องแปลหรือตีความกฎหมาย หากไม่ให้ศาลแปลศาล
ก็ย่อมใช้กฎหมายไม่ได้” แต่คำพิพากษาฎีกาฉบับนี้จะไม่ได้รับการชื่นชมและ
เดินตามโดยคำพิพากษาฎีกาฉบับหลังๆ อย่างในคดี Marbury v. Madison ของ
สหรัฐ คงเป็นเพราะ ผู้ได้รับประโยชน์จากคำพิพากษาฎีกานี้มิใช่เหยื่อที่ถูกกระทำ
ทารุณโหดร้ายโดยบุคคลผู้ครองอำนาจรัฐตามแนวคิดการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน
โดยสถาบันตุลาการ แต่กลับเป็นว่า สถาบันตุลาการคุ้มครองบุคคลผู้ครองอำนาจ
รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องการกระทำทารุณโหดร้ายเสียเอง
เบื้องหลังคดีนี้มีการพูดกันไปต่างๆ นานาว่า นักกฎหมายไทยระดับ
บรมครู ซึ่งมีส่วนในการตราพระราชบัญญัตินี้หลายคนรู้กันดีว่า ผลของคำ
พิพากษาจะออกมาอย่างไร การตราพระราชบัญญัตินี้ก็เพียงเพื่อช่วยคนไทยด้วย
กันเอง โดยประเทศไทยได้ถูกกดดันอย่างหนักจากประเทศมหาอำนาจให้ส่งตัว
จอมพลแปลก พิบูลสงครามกับพวกไปดำเนินคดีที่ศาลอาชญากร สงครามระหว่าง
ประเทศ เช่นเดียวกับอดีตผู้นำประเทศอื่นๆที่แพ้สงคราม วิธีเดียวที่เป็นข้ออ้าง
ไม่ส่งตัวบุคคลเหล่านี้ไปดำเนินคดีก็คือ การตราพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม
กำหนดการกระทำนั้นว่าเป็นความผิดและดำเนินคดีแก่บุคคลเหล่านี้เสียเอง
ซึ่งนักกฎหมายระดับบรมครูรู้อยู่แล้วว่า ถึงอย่างไรในที่สุดบุคคลเหล่านี้ก็ต้องถูก
ยกฟ้อง ความจริงเป็นอย่างไรยากที่จะยืนยัน แต่คำพิพากษาฎีกาที่ดูก้าวหน้า
ฉบับนี้มิได้ถูกเดินตามและไม่มีบทบาทใดๆ ในการพัฒนาวิธีตีความกฎหมายของ
บทความที่ผานการพิจารณา