Page 552 - kpi17968
P. 552
541
อย่างชัดเจนแล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญมิได้ตีความโดยยึด “บทบัญญัติลายลักษณ์
อักษร” ของรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้แนวคิดทฤษฎีตีความ
รัฐธรรมนูญแนวโครงสร้างนิยมที่เปิดทางให้ฝ่ายตุลาการมีหน้าที่ที่สำคัญกว่าหน้าที่
ในฐานะผู้รับใช้ฝ่ายนิติบัญญัติตามแนวคิดปฏิฐานนิยมของสำนักกฎหมายบ้านเมือง
โดยอาณัติแห่งจิตวิญญาณรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ จึงทำหน้าที่สำคัญที่ควร
ต้องทำคือ การถ่วงดุลและคานอำนาจนิติบัญญัติอย่างเข้มแข็งจริงจัง
โดยค้นหาหลักรัฐธรรมนูญนอกเหนือบทบัญญัติลายลักษณ์อักษรซึ่งเป็นฐานราก
สำคัญที่แท้จริงของบทบัญญัติลายลักษณ์อักษรของรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับการ
ปฏิบัติหน้าที่ของศาลสูงสุดสหรัฐตามหลักศุภนิติกระบวน (Due process of
law) ความเปลี่ยนแปลงในจารีตนิติศาสตร์ของไทยอันเป็นผลมาจากคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้นับว่ามีผลไม่น้อยไปกว่าคำวินิจฉัยคดี Marbury v.
Madison ที่ศาลสูงสุดสหรัฐสถาปนาระบบ Judicial review ในปี ค.ศ. 1803
และในคดี Kevasanand Bharati v. Kerala ที่ศาลฎีกาอินเดียสถาปนาหลัก
โครงสร้างพื้นฐานในปี ค.ศ. 1973 ดังนั้น คำวินิจฉัยนี้จึงสั่นสะเทือนวงวิชาการ
นิติศาสตร์และวงวิชาชีพตุลาการในประเทศไทยอย่างแน่นอน ปัญหาว่าคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้าไปไกลขนาดนี้จะได้รับการยอมรับหรือไม่น่าจะอยู่ที่ว่า
ในบริบทสังคมนิติศาสตร์ไทย ทฤษฎีนิติศาสตร์ของสำนักกฎหมายบ้านเมือง
อ่อนกำลังลงพอที่ทฤษฎีกฎหมายใหม่ของสำนักโครงสร้างนิยมที่มีนักกฎหมาย
ไม่มากนักรู้จักนี้พอจะแทรกพื้นที่ขึ้นมามีอิทธิพลในวงการนิติศาสตร์ไทยได้หรือไม่
เพียงใด
ในคดีพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 ที่สภาผู้แทน
ราษฎรได้ให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475
ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้คือรัฐบาลที่จัดตั้งภายหลังจากที่ประเทศไทยได้รับการ
ยอมรับจากประเทศมหาอำนาจในสงครามโลกครั้งที่สองว่าเป็นประเทศ
ชนะสงคราม ทันทีที่จัดตั้งรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจ
รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้บัญญัติเอาผิดกับบุคคลในรัฐบาลชุดที่
ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรและร่วมมือหรือรู้เห็นเป็นใจกับรัฐบาลญี่ปุ่น
และเยอรมนีภายใต้การนำของอด็อฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งพระราชบัญญัตินี้เรียกว่า
บทความที่ผานการพิจารณา