Page 247 - kpi18886
P. 247
239
แห่งความขัดแย้งของสังคมไทยกลับมีภาพสะท้อนความอ่อนแอของหลักนิติธรรม
อย่างเห็นได้ชัด เช่น ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยต่อมาตรา 68 ตามรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ซึ่งเป็นการก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นต้น ปรากฏการณ์
เหล่านี้จะส่งผลให้สังคมเกิดคำถามและข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อความชอบธรรม
ขององค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐต่าง ๆ หากยังไม่ได้รับการจัดวางความสัมพันธ์เชิง
อำนาจและบทบาทที่ถูกต้อง ในสังคมประชาธิปไตย ภายใต้หลักนิติธรรม
ซึ่งมีรัฐธรรมนูญเป็นกติกาและกลไกสำคัญทางสังคมในการจัดวางระบบ
การตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ
รวมทั้งการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐจากภาคประชาสังคม
เมื่อพิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แล้ว
จะเห็นได้ว่าสังคมไทยยังห่างไกลจากการจัดดุลแห่งอำนาจที่ลงตัวและความเป็น
นิติธรรมอยู่มาก แม้มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญจะประกาศยอมรับหลักการ
แบ่งแยกอำนาจและบัญญัติให้องค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็น
ไปตามหลักนิติธรรม เนื่องจากดุลแห่งอำนาจระหว่างสถาบันทางการเมืองตาม
รัฐธรรมนูญนั้นแคบจนเกินไป เพราะมีเพียงองค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร
ตุลาการ และการตรวจสอบ ซึ่งขาดดุลอำนาจกับประชาชน เนื่องจากในปัจจุบัน
อำนาจของประชาชน มีความเป็นสถาบันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งความ
ขัดแย้งได้ก่อให้เกิด “ดุลอำนาจการเมืองแบบมวลชน” ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนให้
เกิดการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 และการรัฐประหารในวันที่
22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 นอกจากนี้ การจัดความสมดุลแห่งอำนาจกับทหาร
และข้าราชการประจำซึ่งเป็นดุลแห่งอำนาจในระบบวัฒนธรรมไทยมายาวนานก็ยัง
คงไม่มีความชัดเจน จึงเกิดคำถามว่า การออกแบบสถาบันที่จะใช้อำนาจในระบอบ
ประชาธิปไตยแบบตัวแทนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2560 สามารถสะท้อนความหลากหลายของสังคมเพียงพอหรือไม่
ดุลแห่งอำนาจในระบอบประชาธิปไตยที่เกิดการบิดเบี้ยวในสังคมไทย
เพราะไม่สามารถจัดความสมดุลแห่งอำนาจที่สะท้อนความหลากหลายได้อย่าง
ลงตัวเป็นไปตามหลักนิติธรรม สืบเนื่องมาจากการปะทะกันของสองแนวความคิด
คือการให้คุณค่าประชาธิปไตยแบบตะวันตก ประชาธิปไตยสากลในฐานะที่เป็น
การประชุมกลุมยอยที่ 2