Page 245 - kpi18886
P. 245
237
กรณีของสังคมไทยก็เป็นไปในลักษณะเช่นเดียวกันที่วัฒนธรรมทางการเมือง
ภายใต้กรอบคิด “ความเป็นไทย” เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ละเมิดไม่ได้ เป็นกลไกสำคัญ
ยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญฉบับลายลักษณ์อักษรในการจัดดุลแห่งอำนาจภายใต้การช่วงชิง
นิยามความหมายของ “ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ดังนั้น ดุลอำนาจ
ที่ปรากฏอยู่ในระบบวัฒนธรรมไทย เช่น สถาบันกองทัพ สถาบันราชการ สถาบัน
พระพุทธศาสนา จึงเป็นดุลอำนาจที่รัฐธรรมนูญฉบับลายลักษณ์อักษรไม่สามารถ
เข้าถึงการจัดดุลแห่งอำนาจเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การรับเอา
แนวคิดรัฐธรรมนูญนิยมจากตะวันตกทำให้สังคมไทยเชื่อว่า อำนาจนั้นอาจ
แบ่งแยกได้ และรัฐธรรมนูญจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดความสัมพันธ์ของ
ดุลแห่งอำนาจในระบอบประชาธิปไตย แต่ในสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยนั้น
อำนาจไม่อาจแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน อำนาจและอิทธิพลจึงเป็นสิ่งที่เกิดคู่ขนาน
กัน
โยชิฟูมิ ทามาดะ (Yoshifumi Tamada) อธิบายคำว่า “อิทธิพล”
ในระบบการเมืองไทยว่า คนไทยเห็นว่าอำนาจนั้นมีสองอย่าง อย่างแรกคือ
อำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือประเพณี คนไทยเรียกว่า “อำนาจ” อย่างที่
สองคือ อำนาจที่ไม่มีกฎเหมายหรือประเพณีรับรองแต่ก็มีพลังเหมือนกับอำนาจ
อย่างแรก คนไทยเรียกว่า “อิทธิพล” (Tamada, Y., 1991 ใน นิธิ เอียวศรีวงศ์,
2547: 139-140) อิทธิพล มีมาในสังคมไทยแต่โบราณ และไม่ใช่สิ่งที่ขัดแย้งกับ
อำนาจด้วย เพราะเมื่ออำนาจต้องปะทะอิทธิพล แทนที่จะปราบปรามอิทธิพล
ให้เหลือแต่อำนาจอย่างเดียว อำนาจไม่มีพลังจะทำเช่นนั้นได้ อำนาจจึงได้
ประนีประนอมกับอิทธิพลโดยรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจ อิทธิพลจึงเป็น
อุปสรรคแก่อำนาจบ้านเมืองมาแต่โบราณ อิทธิพลคือข้อจำกัดที่อำนาจอันแบ่งแยก
มิได้ในสังคมไทยต้องเผชิญตลอดมา ดุลแห่งอำนาจปกครองของไทยจึงถูก
“คาน” จาก “อิทธิพล” ได้ (นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2547: 140)
อิทธิพลที่ปรากฏอยู่ในระบบวัฒนธรรมของไทยมายาวนานโดยเฉพาะ
กองทัพและฝ่ายตุลาการ ได้เชื่อมโยงกับดุลแห่งอำนาจใหม่ในช่วงเวลาแห่งความ
ขัดแย้ง คือ “ดุลอำนาจการเมืองแบบมวลชน” ภายใต้โครงสร้าง “สังคม
วัฒนธรรมแบบเครือข่ายครอบครัว” (family network culture) จนมีการกล่าวว่า
การเมืองภาคประชาชนของไทยได้พัฒนาถึงขีดสุด คือ การไม่ยอมรับและปฏิเสธ
การประชุมกลุมยอยที่ 2