Page 243 - kpi18886
P. 243
235
และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นลำดับ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในยุคสมัยการเมืองแบบมวลชนที่มวลชนพยายามเข้ามาเป็นอีกดุลอำนาจ
หนึ่งในทางการเมือง อาจเรียกปรากฏการณ์นี้ได้ว่า “มวลชนาธิปไตย” อย่างไร
ก็ตาม การจัดดุลแห่งอำนาจจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง
อำนาจให้ครบถ้วนสมบูรณ์รอบด้าน โดยจะต้องไม่เลือกจัดระบบความสัมพันธ์
หรือดุลแห่งอำนาจเพียงบางอำนาจเท่านั้นอีกด้วย แต่ตลอดระยะเวลา 8 ทศวรรษ
ที่ผ่านมาสังคมการเมืองไทยยังเลือกจัดระบบความสัมพันธ์หรือดุลแห่งอำนาจ
เพียงบางอำนาจตามโอกาสหรือตามปัญหา ผ่านรัฐธรรมนูญซึ่งเปรียบเสมือน
“กล่องแห่งความฝัน” ของคนในแต่ละยุคสมัยที่ต้องการให้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่อง
มือในการแก้ปัญหาตามโอกาสที่เกิดขึ้น ตามแนวทาง “รัฐธรรมนูญนิยม”
(constitutionalism) ซึ่งอาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนในหลักการของ
ประชาธิปไตยหรือก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวขึ้นไต้
ในช่วงเวลาทศวรรษแห่งความขัดแย้งทางการเมือง หลายฝ่ายมีความ
ไม่เชื่อมั่นในองค์กรผู้ใช้อำนาจ และมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้อำนาจต่าง ๆ
เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เช่น ข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธคักราช 2550 หรือเมื่อมีการยุบสภา
ผู้แทนราษฎรใน พ.ศ. 2556 ซึ่งมีผลทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎรต้องสิ้นสุดลงก่อนวาระและทำให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งนั้นต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่
ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ซึ่งในระหว่างที่
คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวก็มีปัญหาว่า หากยังคงมีความเป็นรัฐบาลแล้ว
การประกาศใช้กฎอัยการศึกของผู้บัญชาการทหารบกในวันที่ 20 พฤษภาคม
พ.ศ. 2557 จะทำได้หรือไม่ และอาศัยฐานอำนาจตามกฎหมายใด เป็นต้น
สถานการณ์ที่เกือบอยู่ในสภาวะ “รัฐล้มเหลว” (failed state) ดังกล่าว ก่อให้
เกิดคำถามว่า รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียวในการจัดความสัมพันธ์
ดุลแห่งอำนาจของสังคมไทยหรือไม่ ?
หากพิจารณาลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมต่าง ๆ จะพบว่า ข้อกำหนด
ของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมหนึ่ง ๆ นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากใครเป็น
ผู้กำหนดขึ้นอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดขึ้นจาก
การประชุมกลุมยอยที่ 2