Page 244 - kpi18886
P. 244

236




               การที่บุคคลและสถาบันต่างๆ ในสังคมนั้น ได้ต่อสู้ช่วงชิงและรักษาสถานะแห่ง

               อำนาจของตนมาเป็นเวลานานจนทำให้เกิดการยอมรับกันในระดับหนึ่ง กลายเป็น
               ประเพณีทางการปกครองและการเมืองขึ้น กล่าวได้ว่า วิถีชีวิต วิถีความคิด และ
               ค่านิยมของสังคมนั้นๆ เคยชินที่จะมองเห็นว่าอำนาจที่ชอบธรรมนั้นต้องสัมพันธ์

               กันอย่างนั้นๆ อย่างเป็นแบบแผนต่อเนื่องที่เรียกว่า “วัฒนธรรมทางการเมือง”

                     วัฒนธรรมทางการเมืองของทุกสังคมไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่ง เพราะการต่อสู้ช่วง

               ชิงและรักษาสถานะแห่งอำนาจของสถาบันและบุคคลในทุกสังคมไม่ได้หยุดนิ่ง
               ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตามกระแสความ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม

               ซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา คนในสังคมนั้นจึงอาจมีค่านิยมในทางการเมืองเปลี่ยนไป
               เช่น คิดว่าสถาบันนั้นควรสัมพันธ์เชิงอำนาจกับอีกสถาบันอย่างหนึ่งอย่างไร และ
               ที่เคยสัมพันธ์กันมาแบบนั้นไม่ชอบธรรมเสียแล้ว วัฒนธรรมทางการเมืองจึงเป็น
               ข้อกำหนดสูงสุดจริงๆ ใน เรื่องสัมพันธภาพทางอำนาจ หรือกล่าวอีกอย่างหนี่ง

               ก็คือ “วัฒนธรรมทางการเมืองคือรัฐธรรมนูญที่แท้จริงของสังคมไทย” ที่ค่อยๆ
               เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา และกฎหมายระเบียบใดก็ไม่อาจล่วงละเมิด
               ข้อกำหนดที่มีในวัฒนธรรมทางการเมืองนี้ได้


                     ในบางสังคมการเมือง รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรมีความ

               สอดคล้องวัฒนธรรมทางการเมือง รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรจึงค่อนข้างคงอยู่
               อย่างคงทนถาวร อย่างไรก็ตาม การเมีองการปกครองของสังคมการเมืองเหล่านั้น
               ก็ยังต้องอาศัยประเพณีซึ่งไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอีกมาก เช่น เป็นประเพณีว่า
               ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะไม่ดำรงตำแหน่งเกินสองสมัยก็หาได้มีการกำหนดไว้ใน

               รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ไม่ แต่ถือปฏิบัติกันมาจนเป็นประเพณีทางการเมีองที่ไม่ค่อย
               จะละเมิดกัน จึงนับว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยไปกว่าข้อกำหนดอื่นๆ ในรัฐธรรมนูญฉบับ
               ลายลักษณ์อักษร ในทางตรงกันข้าม รัฐธรรมนูญในบางสังคมที่ร่างขึ้นโดย

               ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมทางการเมือง จึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อะไร
               การรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และประชาชน
               ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด (ปรับปรุงจาก นิธิ เอียวศรีวงศ์,

               2547: 126-127)








                   การประชุมกลุมยอยที่ 2
   239   240   241   242   243   244   245   246   247   248   249