Page 257 - kpi20756
P. 257
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21 2 7
ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา กระแสการพัฒนาเมืองอัจฉริยะได้รับการตอบรับที่ดีและมีการ
นำเสนอข่าวบ่อยครั้งผ่านสื่อต่าง ๆ มากมาย การนำเสนอเรื่องดังกล่าว มักเป็นไปในลักษณะของ
การกระจายแนวคิดการจัดตั้งบริษัทพัฒนาเมืองจังหวัดต่างๆ มากขึ้น ดังเช่น จังหวัดอุบลราชธานี
(วารีรักษ์ รักคำมูล และสุชัย เจริญมุขยนันท์, 2561) การนำเสนอโครงการต่างๆ ที่ถือเป็นส่วน
หนึ่งของการพัฒนาเมืองแท้จริงแล้วอาจแฝงเร้นไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ถือหุ้นหรือไม่
เพราะด้วยทุนจดทะเบียนนับหลายล้านบาทนั้น ทำให้โอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถือหุ้นของ
บริษัทเป็นไปได้ยาก และส่งผลให้เกิดการผลักดันประเด็นการพัฒนาอื่นๆ ได้ยากเช่นกัน
เมื่อพิจารณาตามงานศึกษาของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ (Laothamatas, 1992) เรื่อง
“Business Associations and the New Political Economy of Thailand : From Bureaucratic
Polity to Liberal Corporatism” จะเห็นได้ว่า ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา สมาคม
ธุรกิจถือเป็นกลุ่มผลประโยชน์นอกระบบราชการ (Extra-bureaucratic interest groups) ที่มี
อิทธิพลอย่างมากในการกำหนดนโยบายสาธารณะของไทยโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจระดับ
มหภาค ดังจะเห็นได้จากการมีดำริและผลักดันให้เกิดคณะกรรมการสำคัญอย่าง “คณะกรรมการ
ร่วมภาครัฐบาลและเอกชน (กรอ.)” ทำให้การพลิกโฉม จากเดิมที่ภาคธุรกิจเอกชนเป็นแต่เพียง
ผู้นำแนวทางหรือนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติมาสู่การเริ่มแทรกซึมเข้ามากำหนดนโยบายเอง
ซึ่งภาพเดิมตามงานศึกษาของระบบราชการไทยในช่วงก่อน 1970 (Riggs, 1966) แสดงให้เห็นว่า
ไทยเป็นรัฐไทยเป็นแบบ อำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic polity) ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน
ถูกครอบงำโดยข้าราชการประจำ ทหาร และเทคโนแครต โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อ
การริเริ่มนโยบายต่าง ๆ หากกลุ่มธุรกิจต้องการให้มีการออกนโยบายที่เอื้อต่อตนก็จะต้องเข้าหา
กลุ่มข้าราชการและทหารเหล่านี้
งานศึกษาของเอนกข้างต้นเกี่ยวข้องกับกรอบแนวคิดเรื่องบรรษัทนิยม (Corporatism)
ซึ่งถือเป็นชุดคำอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ รวมถึงนโยบายของรัฐ
กล่าวคือ กลไกการกำหนดนโยบายสาธารณะมักจะมีตัวแทนจากกลุ่มผลประโยชน์ที่ผูกขาดทาง
ธุรกิจเข้าร่วมด้วย ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งภาครัฐและธุรกิจมีลักษณะเท่าเทียมกัน หากข้อตกลง
ออกมาในลักษณะเช่นไรก็จะส่งผลต่อการนำไปปฏิบัติทั้งสองฝ่ายด้วย ทำให้แนวคิดอำมาต-
ยาธิปไตย (Bureaucratic polity) ตามทัศนะของเอนกจึงไม่มีอีกแล้ว (Laothamatas, 1992;
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, 2559)
เมื่อนำมาพิจารณาในกรณีของการกำหนดนโยบายเมืองอัจฉริยะจะเห็นได้ว่า แนวคิดเรื่อง
บรรษัทนิยมยังสามารถอธิบายปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ เพราะการกำหนดนโยบายนี้จำเป็นต้อง
อาศัยการผลักดันจากภาคธุรกิจเป็นสำคัญ การขับเคลื่อนเมืองในยุค Thailand 4.0 จำเป็นต้อง
อาศัยการวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อเชื่อมโยงกระบวนการต่างๆ ที่สามารถตอบสนองต่อ
การใช้ชีวิตของคนในเมืองได้จึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก การผลักดันให้เกิด
การออกกฎหมายรองรับการจัดตั้งบริษัทพัฒนาเมืองจึงจำเป็นต้องใช้แรงผลักดันจากกลุ่มชนชั้นนำ
ท้องถิ่น เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 5