Page 256 - kpi20756
P. 256
2 การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21
ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย
ข้อเสนอของ McFarland (อ้างถึงใน ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์, 2557) มองว่า กระบวนการ
ในการกำหนดนโยบายไม่มีความแน่นอนสูงเพราะขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงต่างๆ
เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย อำนาจของแต่ละกลุ่มตัวแสดงเองก็แตกต่างกันตามไปด้วย นอกจากนี้
การนิยามผลประโยชน์มักเป็นไปในลักษณะของ อัตวิสัยสูง (Subjective) คือ เป็นการนิยาม
ผลประโยชน์ตามเป้าหมายหลักของกลุ่มนั่นเอง นอกจากนี้ข้อเสนอ “ทฤษฎีว่าด้วยความผันผวน
(Disturbance)” ของ Truman ในปี 1951 กล่าวถึง การรวมตัวกันของกลุ่มผลประโยชน์ว่าดำเนินไป
เพื่อตอบสนองต่อสภาวะความไม่แน่นอนทั้งทางด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ รวมถึงเพื่อ
เป็นการรักษาผลประโยชน์แก่สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย กลุ่มผลประโยชน์มีคุณลักษณะสำคัญ
อีกประการหนึ่ง คือ เป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันกันสูง นั่นคือ ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ส่งผลให้กลุ่ม
ผลประโยชน์ต่างก็จำเป็นที่จะต้องเข้าแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรมาอยู่กับกลุ่มของตนให้ได้มากที่สุด
(ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์, 2557)
ส่วนข้อเสนอในปี 1994 ของแมคฟาแลนด์ (McFarland) ซึ่งเป็น “นักคิดสายพหุนิยมใหม่”
กล่าวถึง ปัจจัยที่กำหนดบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ต่อกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะ
มี 3 ประการ (อ้างถึงใน ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์, 2557) นั่นคือ 1) การรักษาสถานภาพของ
กลุ่มผลประโยชน์ โดยการแสวงหาทรัพยากรและการผลักดันนโยบายสู่สังคม เพื่อให้สังคม
ยอมรับกลุ่มของตนและขยายความสนใจเพื่อเป็นเครือข่ายของกลุ่มต่อไป 2) การให้ความสำคัญ
กับบทบาทของภาครัฐ ซึ่งสายพหุนิยมใหม่มองว่ารัฐเป็นผู้ริเริ่มและกำหนดกฎเกณฑ์หรือนโยบาย
เพื่อให้ตัวแสดงอย่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งสายพหุนิยมมิได้ให้ความ
สำคัญกับประเด็นนี้ 3) การให้ความสำคัญกับบทบาทของกลุ่มเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม
ซึ่งสายพหุนิยมใหม่มองว่าภาคประชาสังคมเองก็ถือเป็นอีกตัวแสดงหนึ่งที่มีความสำคัญต่อ
การกำหนดนโยบาย ซึ่งการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมมักผลักดันประเด็นเชิงนโยบายเฉพาะ
กลุ่มที่สนใจ แต่มักเป็นไปในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงนโยบายในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
3.2 แนวคิดชนชั้นนำ (Elitism)
ตามข้อเสนอของ Schattschneider (1960) มองว่า ผู้นำของกลุ่มเป็นผู้ก่อตั้งจึงมีฐานะ
ผู้ชี้นำทิศทางของกลุ่มผลประโยชน์ ในขณะที่สมาชิกเป็นผู้ตามเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์นำเสนอแนวทาง
และอยู่ภายใต้การกำกับของผู้นำ นอกจากนี้กลุ่มผลประโยชน์ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมานั้นก็มาจากผู้นำที่มี
ฐานอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจอยู่แล้ว ไม่ได้เกิดลอยๆ มาจากธรรมชาติ จึงทำให้ลักษณะ
ของกลุ่มผลประโยชน์มิได้เป็นพหุนิยมแต่เป็นคณาธิปไตย นอกจากนี้ข้อเสนอของแดนิเลียนและ
เพจ Danielian & Page (1994) ที่ต้องการทดสอบทฤษฎีพหุนิยมว่าด้วยความเท่าเทียมกันของ
กลุ่มผลประโยชน์ โดยเขาตั้งสมมติฐานว่า สื่อมวลชนมักนำเสนอประเด็นทางด้านนโยบายของ
เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 5 เชิงลบ โดยหากอยู่บนสมมติฐานเช่นนี้จะเห็นได้ว่ากลุ่มผลประโยชน์ทุกกลุ่มจะต้องสามารถ
กลุ่มผลประโยชน์ขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันกลับเพิกเฉยข้อเสนอของกลุ่มผลประโยชน์ที่มีภาพ
นำเสนอประเด็นนโยบายเข้าสู่ความสนใจของผู้มีอำนาจได้อย่างเท่าเทียมกันหากแต่ในความเป็นจริง
กลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าย่อมสามารถผลักดันได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ