Page 138 - kpi15476
P. 138

การประชุมวิชาการ
                                                                                          สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15   13


                            อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ต่างก็ยังถกเถียงเกี่ยวกับแนวคิด
                      ผู้ปกครองผู้ทรงภูมินี้ นั่นคือ


                                    ฝ่ายหนึ่งเน้นไปที่ความเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาของตัวกษัตริย์เท่านั้น
                                  แต่อีกฝ่ายหนึ่งเน้นไปที่การที่กษัตริย์พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม


                            อย่างในกรณีของพระเจ้าเฟดริกที่สอง หรือพระเจ้าเฟดริกมหาราชแห่งปรัสเซีย (1712-

                      1786) ในตอนที่ทรงพระเยาว์ พระองค์ได้รับการอบรมสั่งสอนตามภูมิปัญญาความรู้สมัยใหม่ของ
                      ฝรั่งเศส (the French Enlightenment) และพระองค์ทรงดำเนินชีวิตส่วนตัวของพระองค์ตาม
                      แนวทางดังกล่าว แต่มิได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะใช้ความรู้ดังกล่าวในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลง

                      ประเทศแต่อย่างใด แตกต่างไปจากผู้นำประเทศโปรตุเกสอย่าง เซบาสเตียน โฮเซ เดอ คาร์วาล
                      โล เอ เมโล (Sebastião José de Carvalho e Melo: 1699-1782) ที่พยายามใช้ภูมิปัญญา

                      สมัยใหม่ในการปฏิรูปประเทศ เพิ่มความเข้มแข็งให้กลับอำนาจเด็ดขาดของเขา จัดการกับ
                      ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และไม่เปิดให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยความเชื่อมั่นใน
                      ความถูกต้องของแนวทางการปฏิรูปสังคมของตน


                            ซึ่งในแง่นี้ หลายคนอาจนึกเทียบเคียงกับผู้นำสิงคโปร์อย่างลีกวนยู หรือผู้นำพรรค

                      คอมมิวนิสต์จีน หรือแม้กระทั่งผู้นำอย่างทักษิณ ชินวัตร เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า
                      สังคมไทยควรยินดีและยินยอมให้มีผู้นำที่เป็นเผด็จการหรือรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่ต้องฟังเสียง
                      ใคร กล้าที่จะจัดการกับฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมือง ขอเพียงผู้นำคนนั้นสามารถนำพาให้ประเทศ

                      ชาติเจริญก้าวหน้าเป็นใช้ได้ คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยก็มีเชื้อทางความคิดนี้
                      ในแบบวอลแตร์ นอกจาก “enlightened despot” จะหมายถึงผู้ปกครองที่เป็นผู้ที่มีภูมิปัญญา

                      เองแล้ว ยังหมายถึงการที่ผู้ปกครองยอมรับผู้มีภูมิปัญญาเข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้วย อย่างกรณีของ
                      วอลแตร์ที่กล่าวถึงไปข้างต้น รัฐบาลฝรั่งเศสมิได้ยอมรับวอลแตร์ แถมยังคุมขังและปฏิบัติต่อเขา
                      อย่างเลวร้าย แต่พระเจ้าเฟดริกมหาราชแห่งประเทศรัสเซียกลับทรงต้องการให้วอลแตร์มาเป็นที่

                      ปรึกษาของพระองค์ ด้วยพระองค์มีปณิธานว่า “ภารกิจหลักของข้าพเจ้าคือการต่อสู้กับความเขลา
                      และอคติ...ต้องการเปิดความคิดของผู้คน ปลูกฝังศีลธรรมที่ถูกต้อง และทำให้ประชาชนมีความสุข

                      ที่เหมาะสมกับธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ด้วยหนทางเท่าที่ข้าพเจ้าจะพึงมี” หรืออย่างในกรณี
                      ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่สามแห่งสเปน (1716-1788) ก็ถือว่าเป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ได้รับการ
                      ยกย่องว่าเป็น “enlightened despot” ด้วยพระองค์ทรงพยายามที่จะกอบกู้อาณาจักรของ

                      พระองค์จากความตกต่ำเสื่อมถอยผ่านการปฏิรูปครั้งใหญ่ อันได้แก่ ลดทอนอำนาจของฝ่าย
                      ศาสนจักร พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยในสถาบันการศึกษา ส่งเสริมการค้า

                      พาณิชย์ ปรับปรุงการเกษตรให้ทันสมัย และพยายามทำทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าสู่สงคราม
                      สเปนมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ตลอดรัชสมัยของพระองค์ แต่เมื่อสิ้นพระองค์แล้ว สเปน
                      ก็กลับสู่สภาพย่ำแย่เหมือนเดิมอีก


                            นอกเหนือไปจากพระเจ้ากุสตาฟที่ 3 แห่งสวีเดนแล้ว พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินี

                      ของยุโรปที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “enlightened despot” ได้แก่ สมเด็จพระจักรพรรดินีแคเธอรีนที่      เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
   133   134   135   136   137   138   139   140   141   142   143