Page 140 - kpi15476
P. 140
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15 139
แต่ถ้าพิจารณาบริบทของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว ข้อเรียกร้อง
ดังกล่าวของฝ่ายรัฐสภาอังกฤษย่อมมีเหตุผลและมีความจำเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนอย่างยิ่ง แม้ว่า
เหตุผลของฝ่ายรัฐสภาอังกฤษในปี ค.ศ. 1642 ในการสร้างเงื่อนไขเรียกร้องในการวางรากฐาน
การศึกษาของพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ที่พระองค์ใดพระองค์หนึ่งจะขึ้น
มาครองราชย์ในอนาคตจะมีประเด็นเรื่องศาสนาเป็นสำคัญก็ตาม แต่สติปัญญาความรู้ด้านอื่นๆ
ของผู้ที่จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ก็มีความ สำคัญยิ่งยวดไม่แพ้กัน
เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า หากพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาดทั้งในด้าน
บริหาร นิติบัญญัติและตุลาการเกิดโง่และไร้จริยธรรม ไพร่ฟ้าประชาชนก็จะพากันเดือดร้อน
สังคมจะตกต่ำเสื่อมทราม ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจบริหารบ้านเมืองหรือใช้ชีวิตส่วนพระองค์อย่าง
โง่ๆและไร้จริยธรรม หรือไม่ใส่ใจในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่สนใจจะพัฒนาบ้านเมืองให้
เจริญก้าวหน้า ไม่ใส่ใจทุกข์สุขของราษฎร
แต่หากผู้ที่จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ได้รับการศึกษาที่เหมาะสม มีปัญญาความรู้ มีจริยธรรม
เอาธรรมเป็นเข็มทิศในการปกครองบ้านเมือง การมีอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาดของพระองค์ก็จะกลาย
เป็นเรื่องที่วิเศษอย่างยิ่ง ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ปราชญ์อย่างวอลแตร์เชื่อว่า การพัฒนา
เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองที่ทรงประสิทธิภาพประสิทธิผลมากที่สุดก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก
เบื้องบน นั่นคือ จากการริเริ่มและใช้พระราชอำนาจอันสมบูรณ์เด็ดขาดขององค์พระมหากษัตริย์
ในระบอบสมบูรณาญา สิทธิราชย์ ไม่ใช่มาจากรากหญ้าประชาชน ซึ่งนอกจากว่าอาจจะไม่มีสติ
ปัญญาความรู้แล้ว หรือมีก็ไม่สามารถมีเท่าพระเจ้าแผ่นดินที่ผ่านการศึกษาอบรมบ่มเพาะอย่างดี
จากปราชญ์ผู้ทรงภูมิต่างๆ ยังมีจำนวนมากมายและอาจมีความคิดความเห็นที่แตกต่างยากที่จะหา
ฉันทานุมัติเป็นแนวทางเดียวกันได้
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า แนวคิดความเชื่อใน “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงภูมิปัญญา” นี้จะว่าไปแล้ว
ก็ดูจะไม่ต่างจากแนวคิด “ราชาปราชญ์” หรือ “philosopher king” ของนักปรัชญาการเมือง
กรีกโบราณผู้ยิ่งใหญ่อย่างเพลโต เพราะเลียวนาร์ด ไครเกอร์ (Leonard Krieger: 1918-1990)----
ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยใหม่ชาวอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ผู้ได้รับการ
ยกย่องว่าเป็น “นักประวัติศาสตร์ความคิดที่โดดเด่นที่สุดของอเมริกันในยุคสงครามเย็น” ก็ได้
กล่าวเช่นเดียวกันนี้ในตำราชื่อ “ราชาและปราชญ์, 1689-1789” (Kings and Philosophers,
1689-1789 [New York: W.W. Norton & Com.:1970) ไครเกอร์กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา
สองพันห้าร้อยกว่าปีมานี้นั่นคือ ไครเกอร์เริ่มนับตั้งแต่เพลโตได้เสนอตัวแบบ “ราชาปราชญ์” เป็น
ครั้งแรกในหนังสือ the Republic และที่จริงแล้ว ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน เราก็พบแนวคิดใกล้เคียง
กันนี้ในงานของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอีกท่านหนึ่งด้วย นั่นคือ ขงจื่อ ดังที่รู้จักกันในแนวคิด
“sage-king” ผู้คนมักคาดหวังให้มีผู้นำที่มีอำนาจเหนือเต็มเหนือใครๆ อีกทั้งยังมีความรู้และมีคุณ
ธรรมพร้อมสรรพ และใช้อำนาจอันสมบูรณ์เด็ดขาดนั้นพัฒนาสังคมและชีวิตผู้คนให้อยู่ดีมีสุข 18
และความคิดความคาดหวังดังกล่าวนี้ก็มาปรากฏขึ้นชัดเจนอีกครั้งในปี ค.ศ. 1847 ในคำที่
18 Leonard Krieger, Kings and Philosophers, 1689-1789, (New York: W.W. Norton & Company: เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
1970), p. 241.