Page 207 - kpi15476
P. 207

20      การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15


                  ตนเอง ดังจะเห็นได้จากหลักธรรมข้อต่างๆ ที่มีอยู่ในทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตรแต่ละข้อที่
                  มุ่งเน้นให้ผู้ปกครองกระทำตนให้เป็นคุณประโยชน์ต่ออาณาประชาราษฎร์ ไม่ข่มเหงประชาชนให้

                  เกิดความเดือดร้อน ส่วนหลักคิดของเพลโตนั้นก็จะเน้นที่ความยุติธรรมของผู้ปกครองเช่นเดียวกัน
                  ซึ่งหากสังเกตใจความที่ธรรมราชาและราชาปราชญ์มีเหมือนกันข้อดังกล่าวแล้ว ก็จะทำให้เรา
                  สามารถสังเกตเห็นความเหมือนกันอีก 4 ประการได้ง่ายขึ้น เพราะการที่ทั้งธรรมราชาและ

                  ราชาปราชญ์จะเป็นผู้ที่บำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวมให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น
                  ย่อมต้องอาศัยคุณสมบัติที่มีเหมือนกันทั้งสี่ประการนี้ในการช่วยให้พระองค์สามารถบรรลุ

                  เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ โดยคุณสมบัติทั้งสี่ประการได้แก่

                       ประการแรก นักปกครองและประชาชนเป็นสิ่งที่อยู่เคียงคู่กัน ดังจะเห็นได้จากแนวคิด

                  เกี่ยวกับราชาปราชญ์ของเพลโต ที่ได้กล่าวไว้ว่า ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการที่ชนชั้นทั้ง
                  3 ส่วน นั่นคือ นักปกครอง พิทักษ์ชน และราษฎรมีการทำงานอย่างประสานสอดคล้องกัน

                  ไม่ก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน นั่นแสดงให้เห็นว่า เพลโตมิได้เน้นนักปกครองเพียงอย่างเดียว
                  ในการปกครองรัฐ แต่ยังเน้นให้ทั้งนักปกครองและผู้ที่อยู่ในรัฐได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างประโยชน์สุข
                  ส่วนรวมให้บังเกิดขึ้น เช่นเดียวกับผู้ที่เป็นธรรมราชาที่จำเป็นต้องดำรงอยู่คู่กับประชาชนด้วย

                  มิเช่นนั้น สถานภาพของความเป็นธรรมราชา ดังเช่นอัคคัญญสูตรในพระไตรปิฎกที่ถือว่า
                  พระมหากษัตริย์จะเสวยราชสมบัติได้ก็โดยสโมสรสมมุติของประชาชน นั่นคือ ได้รับความยินยอม

                  พร้อมใจจากประชาชนหรือตัวแทนของประชาชน (ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา, 2539, น.77)
                  จากข้อกำหนดที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่า ความชอบธรรมในการปกครองของธรรมราชาและ
                  ราชาปราชญ์ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องอิงอาศัยกับประชาชนด้วย มิใช่เน้นแต่เรื่องของอำนาจเหนือ

                  ธรรมชาติเท่านั้น


                       ประการที่สอง นักปกครองดำรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพ ด้วยเหตุที่นักปกครองของทั้ง
                  แนวคิดธรรมราชาและแนวคิดราชาปราชญ์เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และทำกรณียกิจต่างๆ
                  เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม ด้วยเหตุนี้ นักปกครองจึงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพของประชาชน

                  ซึ่งความเคารพที่นักปกครองได้มาเป็นความเคารพที่เกิดจากความเต็มใจของประชาชน มิใช่เกิด
                  จากการบังคับขู่เข็ญ ดังจะเห็นได้จากแนวคิดแบบธรรมราชาที่เน้นว่า จอมจักรพรรดิราชผู้เป็น

                  ธรรมราชานั้นเป็นผู้ที่สามารถปราบแว่นแคว้นต่างๆ ได้ด้วยธรรมะ มิได้ปราบด้วยอาวุธ ทำให้
                  แว่นแคว้นต่างยอมเข้ามาสวามิภักดิ์แต่จอมจักรพรรดิราช แม้เรื่องราวของจอมจักรพรรดิราชจะมี
                  การอธิบายถึงอำนาจเหนือธรรมชาติต่างๆด้วยก็ตาม แต่เรื่องการเป็นที่ยอมรับในหมู่ชนก็ถือ

                  เป็นใจความสำคัญของแนวคิดดังกล่าวด้วย ส่วนแนวคิดแบบราชาปราชญ์ของเพลโต ก็จะเห็นได้
                  จาก การที่เพลโตให้ความสำคัญกับการมีความรู้และความยุติธรรมของนักปรัชญา แล้วจึงสรุปว่า
        เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย   ผู้อยู่ใต้ปกครองจึงควรให้ความร่วมมือกับนักปกครองด้วย เพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น
                  นักปรัชญาควรเป็นผู้ปกครองรัฐ (ชุมพร สังขปรีชา, 2529, น.27) โดยการอธิบายในลักษณะ
                  ดังกล่าว ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เพลโตได้ให้คุณค่ากับผู้ปกครองในฐานะผู้มีความสามารถ ดังนั้น



                  ตามที่เพลโตได้เน้นถึงความสมดุลของการทำงานของชนชั้นทั้งสามในรัฐ
   202   203   204   205   206   207   208   209   210   211   212