Page 244 - kpi15476
P. 244

การประชุมวิชาการ
                                                                                          สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15   243


                      ก็อาจมองได้ว่าการที่บุตรเป็นพยานกล่าวโทษความผิดของบิดานั้นไม่ใช่หนทางแก้ไขปัญหา
                      ความดีต่อบิดาต่างหากเป็นคุณธรรมความดีงามที่ชัดเจนมากในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

                      เพราะการฟ้องบิดาหรือเป็นพยานว่าบิดาทำผิดนั้นไม่อาจสรุปได้ว่าดีงามเท่ากับการปกปิดความผิด
                      ของบิดา ในเมื่อเรายังไม่แน่ใจว่าการกระทำนั้นมันดีงามหรือไม่ แล้วสิ่งที่ดีงามสูงสุดคืออะไร
                      แล้วเหตุใดจึงจะไม่ยึดถือสิ่งที่ผู้คนทั่วไปมองว่าเป็นสิ่งดีงามอีก ดังนั้นโดยสามัญสำนึกทาง

                      มโนธรรมจึงต้องมุ่งกระทำในสิ่งที่เป็นคุณธรรมที่ชัดเจนเสียก่อน จึงตีความปรัชญาขงจื่อได้ว่า
                      ความเป็นครอบครัวมีความชัดเจนจนต้องยึดถือไว้เป็นอย่างแรกสุดที่จะให้ความสำคัญเพราะอยู่กับ

                      เรามาโดยกำเนิด บุคคลจึงต้องทำหน้าที่ในฐานะครอบครัวที่เป็นหน่วยเล็กในสังคมให้ได้ดีก่อน
                      จึงจะทำหน้าที่ในหน่วยใหญ่ได้ดี หลักการใหญ่ของขงจื่อ คือ ความกตัญญูถือเป็นแก่นสำคัญสูงสุด
                      หลักอื่นจะขัดกับหลักคุณธรรมครอบครัวไม่ได้


                      ประเด็นที่สอง: เปรียบเทียบประเด็นการให้สัจจะวาจาในครอบครัวที่สัมพันธ์กับ

                      กฏเกณฑ์ ทางสังคม


                            ในที่นี้เป็นการตอบคำถามในประเด็นสำคัญอย่างการให้สัจจะวาจาในครอบครัวจะเกี่ยวโยง
                      หรือสัมพันธ์กันกับกฎเกณฑ์ทางสังคมซึ่งเป็นโครงสร้างใหญ่ได้อย่างไร ทั้งสองปรัชญาโดยรวมจะ

                      มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของมนุษย์ ซึ่งสัจจะวาจาเป็นประเด็นหนึ่งที่สำคัญ
                      ต่อการอยู่ร่วมกัน โดยสัจจะในที่นี้จะหมายความถึงการพูดคำไหน ต้องทำตามนั้น จะแสดงถึงการ

                      พูดอะไรออกไปต้องรักษาข้อตกลงนั้น เพราะการทำตามข้อตกลงระหว่างกันจะทำให้เกิดการอยู่
                      ร่วมกันได้ การแก้ไขในการไม่ทำตามข้อตกลงคือการมีรัฐ รัฐจึงมีไว้เพื่อรักษาข้อตกลงร่วมกัน
                      หากมีการละเมิดก็มีสถาบันไว้ลงโทษผู้ละเมิดข้อตกลง ในปรัชญาฮินดูจะมีกษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจ

                      ในการลงโทษผู้ที่ละเมิดข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันเพื่อควบคุมให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย
                      ของสังคม และตัวกษัตริย์เองก็ต้องยึดถือความมีสัจจะเช่นกัน ดังตัวบทที่ว่า “สัจจะหรือความจริง

                      เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในราชธรรม พระราชาจะต้องมีสัจจะและจะต้องเคารพสัจจะเสมอ พระ
                      ราชาจะต้องไม่กระทำการใดๆ โดยปราศจากสัจจะ สัจจะจะนำความรุ่งเรืองมาสู่พระราชาเสมอ”
                      (กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย, 2550:212) ซึ่งทั้งสองปรัชญามีความเหมือนกันที่ไม่ได้มีข้อบังคับ

                      อันเกิดจากสถาบันเพียงอย่างเดียว ในปรัชญาฮินดูจะมีเรื่องความสำนึกในการทำบาปหรือการ
                      กระทำผิดภายในตนเอง ส่วนปรัชญาขงจื่อจะมีเรื่องวิธีการอบรมสั่งสอน มุ่งเน้นการสร้างแรง

                      กดดันจากสังคม ทำตัวแบบนี้สังคมไม่ยอมรับ เน้นการทำให้คนเกิดความละอายต่อการกระทำผิด
                      ด้วยจะได้ไม่ต้องลงโทษรุนแรงด้วยรัฐหรือกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่จะแตกต่างกันที่ในปรัชญา
                      ขงจื่อ การสร้างความละอายต่อการกระทำผิดต้องมาจากรากฐานความสัมพันธ์ในครอบครัว

                      ที่บ่มเพาะจริยธรรมของบุคคล ส่วนปรัชญาฮินดูนั้นเป็นความเชื่อที่อิงกับหลักการทางศาสนาใน
                      ระบบการล้างบาป (Penance) ที่ทำหน้าที่สอดประสานกับระบบกฎหมายดังปรากฏใน

                      มานวธรรมศาสตร์ แม้ว่าผู้กระทำผิดจะถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่บาปก็ไม่ถูกกำจัดให้หมดสิ้น
                      ไปได้ ชาติหน้ายังต้องได้รับผลจากบาปนั้นอยู่ จึงต้องมีการล้างบาปด้วยตนเอง (สำนึกบาป)
                      เพื่อให้บาปไม่ติดตัวไปชาติหน้า จากจุดนี้จึงสะท้อนได้ว่ากฎหมายไม่ได้มีหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือ      เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย

                      จากการลงโทษที่ทำให้คนกลัวเท่านั้น
   239   240   241   242   243   244   245   246   247   248   249