Page 211 - kpi17527
P. 211
ประชาธิปไตยไทยในทศวรรษใหม่ 2559
เมื่อประชาชนในสังคมใดเป็น “พลเมือง” มากถึงจำนวนหนึ่ง (Critical Mass)
12
สังคมนั้นก็จะกลายเป็น Civil Society หรือสังคมที่ประกอบด้วย “พลเมือง” ที่
เอาใจใส่ในความเป็นไปและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของชุมชน ปัญหาของสังคม
และปัญหาของบ้านเมือง Civil Society นี้ เรามักจะแปลกันว่า “ประชาสังคม”
แท้ที่จริงแล้ว Civil Society ก็คือ “สังคมพลเมือง” หรือสังคมที่ประกอบด้วย
“พลเมือง” นั่นเอง
เมื่อเกิด “สังคมพลเมือง” ขึ้นมาแล้ว สังคมก็จะเข้มแข็งในการถ่วงดุลกับ
อำนาจ ทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองภาคประชาชน
จะเข้มแข็ง การปกครองท้องถิ่นจะเข้มแข็ง ชุมชนจะเข้มแข็ง ผู้บริโภคจะเข้มแข็ง
ประชาชนจะมีบทบาทในการแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม ปัญหา
เศรษฐกิจ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาศีลธรรม ปัญหาจราจร หรือปัญหาอื่นๆ
ทั้งหลาย ก็จะคลี่คลายแก้ไขไปได้แทบทั้งหมด เพราะสังคมจะไม่รอคอยหรือ
13
เรียกร้องให้รัฐบาล หรือให้ ส.ส. มาแก้ไขให้แต่อย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะช่วยกัน
แก้ไขทั้งสังคม ใครอยู่ชุมชนใด ใครอยู่ภาคส่วนไหน ก็จะช่วยกันแก้ไขในส่วนของ 1
ตนเอง
“พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตย มิใชแค่
“พลเมืองของประเทศ” แต่ต้องเป็น
“พลเมืองโลก” ด้วย
“พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตย จะมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาในทุกๆ
ระดับ อยู่ในครอบครัวก็เป็น “พลเมืองของครอบครัว” อยู่ในชุมชนก็เป็น
“พลเมืองของชุมชน” อยู่ในโรงเรียนก็เป็น “พลเมืองของโรงเรียน” อยู่ใน
12 Approaches to Civic Education: Lessons Learned, Office of Democracy and
Governance, 2002. ถามว่า Critical Mass นี้ คือจำนวนเท่าใด จึงจะเกิด Civil Society
ตอบง่ายๆ ว่า ถ้ามี “พลเมือง” เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ก็เกิด “สังคมพลเมือง” ได้แน่นอน แต่ถ้า
คนที่เป็น “พลเมือง” มีส่วนร่วมและมีบทบาทมาก จำนวนคนที่เป็น “พลเมือง” อาจน้อยกว่านี้ได้
เช่น หนึ่งในสามของประชากร ก็นำไปสู่การเกิด “สังคมพลเมือง” ได้
13 แม้กระทั่งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาความยากจน UNDP เห็นว่า Civic Education
เป็นองค์ประกอบสำคัญในการแก้ปัญหาความยากจน, Civic Education, p. 6.
สถาบันพระปกเกล้า