Page 41 - kpi20686
P. 41

ห น้ า  | 31


                       บริหารที่เหมาะสม ในการปฏิบัติการเปลี่ยนแปลง ให้เกิดประสิทธิผล และความเชื่อมั่นของประชาชน
                       กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ คณะกรรมการระดับบริหาร ส านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ
                       ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ านวน 3 ท่าน คณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการอิสระ จ านวน 5 ท่าน
                       และเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์เชิงลึก

                       การระดมความคิด การสนทนากลุ่ม การเข้าร่วมสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่า
                       1. นโยบายการป้องกันปราบปราม การตรวจสอบทรัพย์สิน จะต้องยึดการปฏิบัติตามธรรมาภิบาล
                       และให้ความส าคัญต่อจริยธรรมในวิชาชีพที่อย่างมีเกียรติอันสง่างาม เป็นที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจ โดย
                       การถือปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล 2. การป้องกันปราบปราม การตรวจสอบทรัพย์สิน ด้วย

                       ความชอบธรรม หากประพฤติผิดต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือกระท าการทุจริต จะต้องได้รับการลงโทษ
                       ตามกฎหมาย เป็นสองเท่าของอัตราโทษที่ได้ก าหนดไว้ และ 3. ผลกระทบ ปัญหา และการบริหารที่
                       เหมาะสม ประเด็นส าคัญควรใช้วิธีการในการด าเนินคดีแบบระบบไต่สวน ส่วนการพิจารณาสรรหา
                       ควรให้บุคลากรในภาคส่วนอื่น ได้เข้ามาเพื่อการมีส่วนรวมเสนอชื่อในการสรรหา วาระที่น้อยลงกว่าที่

                       ก าหนดไว้ แต่ไม่ควรน้อยกว่า 4 ปี หรืออาจก าหนดให้หมดวาระ พร้อมกันกับการหมดวาระของ
                       รัฐสภา และคณะรัฐมนตรี
                                รวีพร คูหิรัญ (2558) ได้ศึกษาเรื่อง ประสิทธิภาพการบริหารจัดการงานตรวจสอบของ

                       ส านักงานการตรวจเงินแผ่นดินตามแนวพระราชด าริ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ (1)
                       ศึกษาปัญหาและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงานตรวจสอบของส านักงานการ
                       ตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตามแนวพระราชด าริ และ (2) เสนอตัวแบบการบริหารจัดการงานตรวจสอบ
                       ของ สตง. ตามแนวพระราชด าริ ส าหรับระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัย
                       เชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณเป็นหลักซึ่งเน้นการวิจัยเชิงส ารวจ

                       โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ผ่านการทดสอบเพื่อหาความเที่ยงตรงของแบบสอบถามได้ค่า IOC
                       ที่ระดับ 0.86 และค่าความเชื่อถือได้ของแบบสอบถามที่ระดับ 0.74 ประชากร คือ ข้าราชการ สตง.
                       จ านวน 2,907 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการ สตง. ที่ตอบแบบสอบถาม จ านวน 1,344 คน โดยใช้

                       สูตรของทาโร่ ยามาเน่ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าการถดถอยพหุคูณ
                       และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ก าหนดผู้ให้ข้อมูลหลัก
                       จ านวน 9 คน เลือกแบบเจาะจงจากผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิง
                       ลึกที่มีโครงสร้างเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบตัวต่อตัวและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการ

                       พรรณนาความ ผลการศึกษาพบว่า (1) กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยกับปัญหาที่ส าคัญ เช่น ด้านความมั่นใจ
                       กล่าวคือ สตง. ไม่ได้ก าหนดนโยบายหรือแนวการตรวจโดยเน้นหรือให้ความส าคัญกับเรื่องความมั่นใจ
                       ว่า การใช้จ่ายเงินแผ่นดินเป็นไปโดยบริสุทธิ์และบังเกิดผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยและคุ้มค่า
                       ส าหรับแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการตามแนวพระราชด าริ คือ สตง. ควรก าหนด

                       นโยบายหรือแนวทางการตรวจอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง โดยเน้นหรือให้ความส าคัญกับเรื่องความ
                       มั่นใจว่าการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินเป็นไปโดยบริสุทธิ์และบังเกิดผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยและ
                       คุ้มค่า และ (2) ตัวแบบการบริหารจัดการงานตรวจสอบของ สตง. ตามแนวพระราชด าริมีทั้งหมด 6
                       ด้าน พบว่า ที่ส าคัญเรียงตามล าดับความส าคัญจากมากไปน้อยมี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นใจว่าการ

                       ใช้จ่ายเงินของแผ่นดินเป็นไปโดยบริสุทธิ์และบังเกิดผลผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ด้านคุณธรรม
   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45   46