Page 174 - kpi20756
P. 174
17 การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21
ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย
“คุณภาพของประชาธิปไตย” และการมุ่งศึกษาปัจจัยที่ส่งผลทำให้ประชาธิปไตยย้อนกลับหรือไม่
ย้อนกลับ โดยอาจเรียกรวมว่ากลุ่ม “การย้อนกลับของประชาธิปไตย” จุดมุ่งเน้นที่แตกต่างกันนี้
โดยมากมาจากกรณีศึกษาและความสนใจที่แตกต่างกันของนักวิชาการ
ว่าด้วยการศึกษาความเหลื่อมล้ำ
การศึกษาความเหลื่อมล้ำค่อนข้างแตกต่างจากการศึกษากระบวนการประชาธิปไตยค่อนข้าง
มาก หนึ่งในสาเหตุของความแตกต่างที่สำคัญคือ ขณะที่มุมมองต่อประชาธิปไตยของนักวิชาการ
ค่อนข้างจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันที่สนับสนุนประชาธิปไตย แต่มุมมองของนักวิชาการที่มีต่อ
ความเหลื่อมล้ำค่อนข้างจะมีความแตกต่างหลากหลาย และขัดแย้งกันอย่างมาก ขณะเดียวกันใน
ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำยังเกี่ยวเนื่องกับนักวิชาการหลากหลายสาขาตั้งแต่ปรัชญา
เศรษฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์อีกด้วย จากความหลากหลายในการศึกษาด้านความเหลื่อมล้ำ
ทำให้การจัดกลุ่มข้อถกเถียงในเรื่องนี้ค่อนข้างยากลำบาก ในการทบทวนการศึกษาความเหลื่อมล้ำ
ในที่นี้จะมุ่งเน้นที่ประเด็นสำคัญที่สุดนั่นคือมุมมองที่มีต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำ ว่าความเหลื่อมล้ำ
เป็นสิ่งปกติ เป็นเรื่องธรรมชาติ หรือเป็นปัญหาและความท้าทายของสังคมที่ต้องแก้ไข
ต่อประเด็นนี้หนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมุมมองทางการศึกษาและเชิงนโยบายอย่าง
มากคืองานของไซมอน คุซเนตส์ (Kuznets, 1955) ในงานดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นว่าในกระบวนการ
พัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ความทันสมัยที่ขับเคลื่อนผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรม ความเหลื่อมล้ำ
จะสูงขึ้น โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร และระหว่าง
เมืองและชนบท อย่างไรก็ตามเมื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมได้เพิ่มสูงขึ้น การขยายตัวของเมือง
สูงขึ้น จำนวนคนรายได้ต่ำที่อยู่ในเมืองจะเพิ่มขึ้นตามมา และคนกลุ่มนี้มักจะมีบทบาทเรียกร้องให้
รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อคุ้มครอง และลดผลกระทบทางลบจากการพัฒนาอุตสาหกรรม
จากปัจจัยดังกล่าวนี่เองที่จะทำให้ในระยะยาวความเหลื่อมล้ำจะเริ่มลดลงตามลำดับ จากทฤษฎี
ดังกล่าวของคุซเนตส์ได้มีการพัฒนากลายเป็น “เส้นโค้งของคุซเนตส์” (Kuznets curve)
งานของคุซเนตส์สอดรับเป็นอย่างดีกับกระแสทฤษฎีการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยที่กำลัง
ได้รับความนิยมในช่วงเวลานั้น โดยกระแสงานกลุ่มนี้มุ่งเน้นความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ
บนฐานของอุตสาหกรรม การจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมระหว่างภาคส่วนเศรษฐกิจต่างๆ และ
ความเชื่อที่ว่าในท้ายที่สุดผลจากการพัฒนาที่กระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง และภาคอุตสาหกรรม
จะไหลล้นไปยังภาคส่วนอื่นๆ ด้วยเหตุที่ความเชื่อเหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ลูเชียน พาย (Lucian
Pye) ตั้งข้อสังเกตว่าเป็น “จอกศักดิ์สิทธิ์” (grail) ที่ทุกคนทั่วโลกต่างยึดเป็นเป้าหมายร่วมกัน
เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 3 หากแต่มองว่าเป็นสิ่งปกติในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ความทันสมัย
ที่อยู่เหนือการเมือง และข้ามเส้นแบ่งทางอุดมการณ์” (Pye, 1979) ได้ส่งผลตามมาทำให้มุมมอง
ของนักวิชาการ รวมทั้งผู้กำหนดนโยบายในขณะนั้นไม่ได้มองว่า “ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหา”
มุมมองดังกล่าวสอดรับกับแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองสายอิสระเสรีนิยม
(libertarianism) ในยุคนั้น โดยเฉพาะงานของรอเบิร์ต โนซิก (Robert Nozick) ซึ่งมีฐานคิดที่ว่า