Page 178 - kpi20756
P. 178

178     การประชุมวิชาการ
                    สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21
            ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย


                  อิทธิพลของเสรีนิยมใหม่ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหา (Atkinson, 2015; Bourguignon, 2015;
                  Scheidel, 2017; Ostry, Loungani and Berg, 2019) งานจำนวนไม่น้อยได้ชี้ให้เห็นถึงชุดของ

                  นโยบายในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายภาษีอัตราก้าวหน้า ภาษีรายได้
                  จากทุน ภาษีมรดก การปฏิรูปที่ดิน การดำเนินนโยบายสวัสดิการ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข
                  การศึกษา การลดการผูกขาดในการแข่งขัน การสร้างความเข้มแข็งให้กับสหภาพแรงงาน

                  การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น (ดู Atkinson, 2015; Scheidel, 2017) แม้ว่าจะมีความเข้าใจ
                  ดังกล่าว แต่การผลักดันให้ข้อเสนอเหล่านี้กลายเป็นแนวนโยบายล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ยากลำบาก

                  จำเป็นต้องอาศัยทั้งเจตจำนงทางการเมืองอันแรงกล้าของรัฐบาลและชนชั้นนำ ความร่วมมือ
                  ระหว่างประเทศ และแรงผลักดันจากทั้งชนชั้นกลาง และมวลชน


                       ในภาพรวมอาจกล่าวได้ว่า มุมมองที่มีต่อเรื่องความเหลื่อมล้ำได้ปรับเปลี่ยนไปจากเดิม
                  ที่มองว่าความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว และจะลดลงเมื่อการพัฒนา

                  เศรษฐกิจดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นมุมมองที่ว่าความเหลื่อมล้ำคือ ปัญหาที่ต้องได้รับ
                  การแก้ไข จากกระแสโลกในยุคปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่ามุมมองเช่นนี้ได้เริ่มกลายเป็น “ฉันทามติ
                  ว่าด้วยความสำคัญของปัญหาความเหลื่อมล้ำ” ที่ตัวแสดงฝ่ายต่างๆ มีความเห็นร่วมกัน ทั้งฝ่าย

                  วิชาการ และผู้กำหนดนโยบายในระดับต่างๆ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือการแปลง
                  ฉันทามติดังกล่าวให้กลายเป็นการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย ซึ่งมีนัยสำคัญคือการปรับเปลี่ยน

                  แนวนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นแนวนโยบายแบบเสรีนิยมใหม่
                  การดำเนินนโยบายกระจายทรัพยากร ทั้งการจัดเก็บภาษี การดำเนินนโยบายสวัสดิการ ฯลฯ
                  การเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถดำเนินการได้อย่างง่ายดาย เนื่องจาก

                  ผู้ได้ประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้แม้ไม่มีจำนวนที่มากนัก แต่ล้วนแล้วแต่ทรงอิทธิพลทั้งในทาง
                  เศรษฐกิจและการเมือง ทั้งภายในประเทศและระดับระหว่างประเทศ



                  ว่าด้วยการศึกษากระบวนการประชาธิปไตย และความเหลื่อมล้ำ



                       จากการทบทวนการศึกษาในเรื่องกระบวนการประชาธิปไตย และการศึกษาความเหลื่อมล้ำ
                  จะพบความน่าสนใจประการหนึ่ง นั่นคือ ขณะที่ในการศึกษากระบวนการประชาธิปไตย ปัจจัย

                  เรื่องความเหลื่อมล้ำเพิ่งจะได้รับความสนใจเมื่อไม่นานมานี้ แต่ในการศึกษาความเหลื่อมล้ำ
                  โดยเฉพาะโดยนักเศรษฐศาสตร์ ปัจจัยเรื่องประชาธิปไตยถูกมองโดยนัยว่าเป็นองค์ประกอบ
                  ประการหนึ่งที่จะส่งผลต่อทิศทางของความเหลื่อมล้ำ สิ่งนี้ปรากฏให้เห็นในงานของคุซเนตส์

                  ที่สะท้อนว่า การขยายตัวของชนชั้นที่มีรายได้ต่ำในเมืองจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้
                  รัฐบาลต้องหันมาให้ความสำคัญกับการปกป้องคุ้มครองสวัสดิการของประชาชน และขยายผล
        เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 3   ในมุมมองต่อยอดงานของคุซเนตส์ ที่เสนอโดยดารอน อเซโมกลู (Daron Acemoglu) และ
                  ในเชิงบวกของการพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ภาคส่วนต่างๆของสังคม (Kuznets, 1955) หรือหากมอง


                  เจมส์ โรบินสัน (James Robinson) ได้ระบุว่าจากปัญหาความเหลื่อมล้ำอันเกิดมาจาก

                  กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจจะสร้างแรงกดดันทางการเมืองตามมา โดยเฉพาะต่อกลุ่มชนชั้นนำ
                  แรงกดดันนี้หากเกิดขึ้นในรัฐที่เป็นเผด็จการอำนาจนิยมจะส่งผลทำให้รัฐบาลยอมผ่อนคลาย
   173   174   175   176   177   178   179   180   181   182   183