Page 182 - kpi20756
P. 182

182     การประชุมวิชาการ
                    สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21
            ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย


                       การคาดคะเนดังกล่าวค่อนข้างสอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตย
                  ที่ชนชั้นนำสามารถใช้ประโยชน์จากความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ตนเองมีในการเข้าไปมีอิทธิพล

                  ในกระบวนการทางการเมืองและการกำหนดนโยบายสาธารณะ สิ่งเหล่านี้เห็นได้ตั้งแต่กรณีของ
                  ประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า ดังเช่นในยุโรปที่มีการศึกษาชี้ให้เห็นว่าชนชั้นนำใช้ประโยชน์จาก
                  การที่มวลชนมักจะไม่มีความตื่นตัว หรือไม่มีความสนใจในประเด็นทางการเมือง ประกอบกับใช้

                  ทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่ตนเองมีในการเข้าไปมีส่วนร่วมและมีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายเพื่อ
                  รักษาสถานภาพทางเศรษฐกิจของกลุ่มตน (Jensen and Kersbergen, 2017) หรือกรณีของ

                  สหรัฐอเมริกาที่มีการชี้ให้เห็นว่า กว่าร้อยละ 80 ของการมอบเงินบริจาคทางการเมืองตั้งแต่
                  200 เหรียญสหรัฐฯขึ้นไปมาจากคนที่มีรายได้สูงที่สุดร้อยละ 10 ของสังคมอเมริกัน ดังนั้น
                  จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า รัฐบาลมักจะมุ่งตอบสนองในเชิงนโยบายต่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มที่มี

                  รายได้สูงมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ (Gilens, 2005) นอกจากการใช้เงินในการเข้าไปมีส่วนร่วม
                  ในกระบวนการทางการเมืองแล้ว บรังโค มิลาโนวิช (Branko Milanovic) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า

                  ชนชั้นนำยังสามารถใช้การให้เงินสนับสนุนแก่สถาบันวิจัย และสื่อมวลชน เพื่อพยายามครอบงำ
                  ทางความคิด และเบี่ยงเบนประเด็นและความสนใจของมวลชนให้ออกไปจากเรื่องความเหลื่อมล้ำ
                  และประเด็นทางเศรษฐกิจ โดยให้หันไปสนใจในประเด็นอื่นๆ ดังเช่น ภัยจากการก่อการร้าย

                  การทำแท้ง การควบคุมอาวุธปืน เป็นต้น (Milanovic, 2016)


                       นัยสำคัญที่สะท้อนจากงานข้างต้นคือ ชนชั้นนำได้เรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างเชิง
                  สถาบันแบบประชาธิปไตยเพื่อรักษาสถานะทางเศรษฐกิจของตนเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
                  รักษาสถานะของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ การดำเนินการดังกล่าวนอกจาก

                  จะส่งผลทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ยังส่งผลตามมาทำให้เกิดปัญหา
                  ความเหลื่อมล้ำทางการเมืองอีกด้วย ขณะที่คนจนสามารถมีส่วนร่วมผ่านการลงคะแนนเสียง

                  คนรวยมีช่องทางในการเข้าไปมีส่วนร่วมได้มากกว่า โดยเฉพาะผ่านช่องทางของการใช้ทรัพยากร
                  ทางการเงินที่มีอยู่อย่างมหาศาลในการส่งอิทธิพลต่อกระบวนการทางการเมือง และการกำหนด
                  นโยบายสาธารณะ หากสถานการณ์ดังกล่าวดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจะส่งผลในการ “กัดกร่อน

                  ประชาธิปไตย” ได้ เนื่องจากประเด็นเรื่องความเสมอภาคทางการเมืองนับเป็นหัวใจสำคัญของ
                  ประชาธิปไตย (Shapiro, 2015) จากผลการศึกษาใน 141 ประเทศระหว่างปีค.ศ. 1961-2008

                  พบสหสัมพันธ์ระหว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกับความเหลื่อมล้ำทางการเมือง หรือกล่าวอีก
                  นัยหนึ่งก็คือ การศึกษาเชิงประจักษ์ได้ยืนยันแล้วว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจส่งผลทำให้เกิด
                  ความเหลื่อมล้ำทางการเมือง (Houle, 2018) หากปล่อยให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในระยะยาว

                  โอกาสที่จะส่งผลในทางลบต่อ “ความชอบธรรมทางการเมืองของประชาธิปไตย” ก็จะมีมาก
                  เนื่องจากพลเมืองจะมองว่าการปกครองนั้นเอื้อประโยชน์เฉพาะต่อคนกลุ่มน้อยเท่านั้น (Diamond,
        เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 3   ไม่ได้มองว่าความเหลื่อมล้ำจะส่งผลต่อการล่มสลายของประชาธิปไตยเสมอไป
                  1999) อย่างไรก็ตามแม้ว่างานกลุ่มนี้จะเล็งเห็นถึงภัยคุกคามของปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่มักจะ




                       ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากบทบาทของมวลชนในการตอบสนองต่อปัญหาความ
                  เหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และอิทธิพลของชนชั้นนำที่ครอบงำระบอบการเมืองจนส่งผลให้เกิดปัญหา
   177   178   179   180   181   182   183   184   185   186   187