Page 65 - 21736_Fulltext
P. 65
44
ว่าจะคุยกันเรื่องอะไรต่อไป นอกจากนี้ จำนวนของคู่กรณีว่ามีมากหรือน้อยก็มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญ
ถ้ามีจำนวนคนน้อยปัญหาก็จะไม่สลับซับซ้อนมากนัก
2. ความสัมพันธ์ในอดีตว่าดีหรือไม่ดีต่อกัน ถ้าเคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็จะเป็น
ฐานที่ดีในการแก้ปัญหา เพราะสัมพันธภาพเป็นรากฐานที่สำคัญในการนำทางไปสู่การแก้ปัญหาที่
ยั่งยืน แต่ถ้าไม่เคยมีความสัมพันธ์ต่อกันเลยก็สร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น
3. ความเพียงพอของทรัพยากร หรือทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ทรัพยากรมี
หลายด้าน เช่น เงิน บุคลากร สิ่งของ เป็นต้น
4. ระดับของความมุ่งมั่นตั้งใจหรือแรงจูงใจของคู่กรณีที่จะแก้ปัญหาข้อพิพาท ถ้า
คู่กรณีคิดว่าจะเอาชนะกันด้วยวิธีการอื่น การพูดคุยก็จะสำเร็จได้ยาก
5. ระยะเวลาของความขัดแย้งมีมาอย่างยาวนานหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นความ
รุนแรงในอาชีวะบางแห่งมากกว่า 40 ปี หรือปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมามากกว่า 8 ปี
ในขณะที่ปัญหาบางเรื่องมีระยะเวลาที่เกิดขึ้นไม่นาน
6. ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างคู่กรณี ถ้าคู่กรณีมีอำนาจที่ใกล้เคียงกันการ
แก้ปัญหาจะทำได้ไม่ยาก เพราะคู่กรณีจะรู้เท่าทันกัน มีอำนาจต่อรองที่ไม่แตกต่างกันมากนัก หรือ
บางครั้งอาจทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น เนื่องจากรู้เท่าทันกันในทุกประเด็นจนกระทั่งไม่ยอมให้อีกฝ่าย
หนึ่ง
7. ระดับความสนใจของสาธารณชน ถ้าเป็นเรื่องที่สาธารณะให้ความสนใจ เพราะ
กระทบต่อประชาชนในวงกว้าง จะต้องใช้ความละเอียดอ่อนมากขึ้นในการจัดการความขัดแย้ง เช่น
การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ การสร้างเขื่อน การสร้างโรงไฟฟ้า เป็นต้น
2.1.5.3. ปัจจัยที่ทำให้การจัดการความขัดแย้งด้วยการไกล่เกลี่ยโดยคนกลาง
ประสบความสำเร็จ
ปัจจัยที่ทำให้การไกล่เกลี่ยโดยคนกลางประสบความสำเร็จมีหลายปัจจัย แต่ละปัจจัย
ล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น ซึ่งสรุปได้ยากว่าปัจจัยใดสำคัญกว่าปัจจัยใด ประมวลสรุปได้ 5 ปัจจัย
ดังต่อไปนี้
1. คนกลาง
คนกลางที่จะมาทำหน้าที่ดำเนินการไกล่เกลี่ยมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใน
บรรยากาศที่ยังมีความตึงเครียดระหว่างคู่กรณีอยู่มาก คนกลางควรเป็นที่ยอมรับของคู่กรณี การ
ยอมรับของคู่กรณีมีที่มาจาก การไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนั้นๆ บารมีของคนกลาง คุณธรรม