Page 102 - kpiebook62001
P. 102

ค่าใช้จ่ายของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้งบประมาณในปี พ.ศ. 2561 ถึง 89,905 ล้านบาทต่อปี (หรือประมาณ

               5,924 บาทต่อคนต่อปี) ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้หักต้นทุนที่ใช้จ่ายเพียงครั้งเดียว เช่น การผลิตและจัดส่งบัตร และ
               ตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างสูงเพราะว่าได้รวมมาตรการเพิ่มเติมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเข้ามาด้วย และถ้าสมมติหัก

               ค่าใช้จ่ายครั้งเดียวและงบประมาณส าหรับมาตรการเสริมออกไป ก็จะอยู่ที่ประมาณปีละ 48,358 ล้านบาทต่อปี (หรือ

               ประมาณ 3,335 บาทต่อคนต่อปี) ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีความแตกต่างค่อนข้างมากซึ่งสาเหตุมาจากมาตรการเพิ่มเติม
                       เพื่อให้เห็นภาพของขนาดงบประมาณ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้งบประมาณมากกว่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

               และสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการในแต่ละปี และมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติใน

               แต่ละปี อย่างไรก็ตาม การชี้วัดว่าต้นทุนของโครงการนั้นเหมาะสมหรือไม่อาจเป็นเรื่องที่มีข้อจ ากัดมากมาย เนื่องจาก
               การเปรียบเทียบงบประมาณของโครงการสวัสดิการต้องศึกษาในหลากหลายมิติ เช่น ประโยชน์ที่ได้รับสวัสดิการ

               กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน

                   4.2.4 ประสิทธิผล


                       ประสิทธิผลของนโยบายสวัสดิการแบบเจาะจงขึ้นอยู่กับว่าสวัสดิการแบบเจาะจงนั้นสามารถส่งผลต่อ
               กลุ่มเป้าหมายได้ดังที่ต้องการได้เพียงไร ประการแรกจะขอกล่าวถึงปัญหาความผิดพลาดในการนับรวม (inclusion

               error) และปัญหาความผิดพลาดในการกีดกัน (exclusion error) ซึ่งส่งผลให้นโยบายไม่สามารถเข้าถึงเป้าหมายได้ จาก

               การสัมภาษณ์ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น คนในชุมชนไม่รู้สึกว่ามีปัญหานี้กับคนรอบตัวนัก เพราะส่วนใหญ่เวลาที่มีข่าว
               ประชาสัมพันธ์ก็จะชักชวนกันไปลงทะเบียน จึงไม่ค่อยมีใครตกหล่น จะมีการตกหล่นเฉพาะบางคนที่สมัครใจไม่ไป

               ลงทะเบียนเอง ทั้ง ๆ ที่อาจจะมีคุณสมบัติอยู่ในเกณฑ์ที่ก าหนด ส่วนปัญหาความผิดพลาดในการกีดกันนั้นก็ไม่พบอย่าง

               ชัดเจนเช่นกัน
                       อย่างไรก็ตาม จากการรวบรวมข่าวตั้งแต่เริ่มมีการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิด

               ปัญหาความผิดพลาดในการนับรวม เช่น นายวัชรินทร์ ตันกุรานันนท์ ที่มีบัตรคนจนแต่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าใช้ชีวิตหรูหรา

               บนสังคมออนไลน์ (โพสต์ทูเดย์, 2560) นางธนวรรณ พานแพน เปิดร้านขายน้ าแข็งที่จังหวัดเชียงราย โพสต์ภาพลง
               สังคมออนไลน์และถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องสร้อยทองเส้นโต (ไทยรัฐ, 2561) หรือกรณีที่มีผู้จบการศึกษาปริญญาเอกจ านวน

               5 คนซึ่งอยู่ระหว่างการฟ้องร้องคดีชดใช้ทุนเล่าเรียน และยังว่างงานอยู่ ก็มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ที่กระทรวงการคลัง

               ก าหนด (ไทยพีบีเอส, 2560)
                       ส าหรับความผิดพลาดในการกีดกันมีกรณีเช่น ‘ลุงด า’ หรือนายสุชิน เอี่ยมอิน เป็นแกนน ากลุ่มคนไร้บ้านจึงต้อง

               มีชื่อในบัญชีที่เปิดขึ้นมาเพื่อระดมทุน และนางหนูเกณ อินทจันทร์ ซึ่งท าอาชีพขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ก็มีบัญชีกลุ่มออม

               ทรัพย์ที่ก่อตั้งร่วมกับสมาชิกในชุมชนแออัดหลายแห่งในกรุงเทพฯ ทั้งคู่มีเงินในบัญชีเกิน 100,000 บาทจึงไม่ได้รับบัตร
               สวัสดิการแห่งรัฐ (ธันยพร, 2560) หรือกรณีล่าสุดในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2561 ประชาชนจังหวัดเลยเดินทางเข้า

               ร้องเรียนที่ศาลากลางจังหวัดว่ายังมีคนจนจ านวนมากที่ตกหล่นไป เนื่องจากชาวบ้านเข้าไม่ถึงการประชาสัมพันธ์

               ช่วงเวลาที่เปิดให้ลงทะเบียนค่อนข้างสั้น และโครงการไทยนิยม ยั่งยืนก็เข้าไม่ถึงชาวบ้านกลุ่มดังกล่าว (มติชนออนไลน์,


                                                               93
   97   98   99   100   101   102   103   104   105   106   107