Page 106 - kpiebook62010
P. 106

99






               ที่จะอ้างป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญาได้นั้น จะต้องเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ

               กฎหมาย ซึ่งจะต้องเป็นการกระทำโดยมนุษย์เท่านั้นจึงจะถือว่ามีเจตนาประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้
               พฤติกรรมของสัตว์ตามธรรมชาตินั้นไม่อาจถือว่าเป็นการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้


                             อย่างไรก็ตาม การทำร้ายสัตว์ในกรณีดังกล่าว อาจจะอ้างว่าเป็นการกระทำด้วยความจำเป็น
               ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67(2) ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำเป็น...(2) เพราะเพื่อ

               ให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตราย
               นั้นตน ได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตนถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควร ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ” มา
               นำมาปรับใช้ได้ โดยถือว่าอันตรายที่เกิดขึ้นจากสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงตามมาตรา 67
               ดังกล่าวนั้นซึ่งภยันตรายอันบังคับให้เกิดการกระทำความผิดโดยจำเป็นนี้ไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นภยันตราย

               ประเภทใด อาจจะเป็นภยันตรายตามธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมที่อาจจะเป็นอันตรายจากสัตว์ด้วยก็ได้

                             ส่วนปัญหาว่า การทำร้ายสัตว์อาจอ้างว่าเป็นการกระทำไปโดยลุแก่โทสะอันเป็นเหตุลดโทษได้

               หรือไม่นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้าย
               แรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมาย

               กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้” นั้น เห็นได้ชัดเจนว่าการที่อ้างเหตุว่ากระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
               ได้นั้น จะต้องเป็นการกระทำเพราะมีผู้มาข่มเหง ซึ่งสัตว์ไม่อาจที่จะเป็นผู้ข่มเหงได้ จึงไม่อาจอ้างเรื่องการกระทำ
               ความผิดเนื่องจากบันดาลโทสะมาใช้ในกรณีที่ได้รับอันตรายจากสัตว์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความผิดฐาน
               กระทำทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควรนี้เป็นความผิดที่ไม่มีเพดานโทษขั้นต่ำ ดังนั้นศาลอาจจะนำเอาเหตุ

               จากการที่ผู้กระทำความผิดนั้นทำร้ายสัตว์ด้วยโทสะเนื่องจากตนเองหรือบุคคลที่ใกล้ชิดได้รับอันตรายจากสัตว์นั้น
               มาใช้ประกอบในการกำหนดดุลยพินิจในการกำหนดโทษหรือในการรอการลงโทษก็อาจจะกระทำได้


                             ทั้งนี้ หากกฎหมายจะบัญญัติให้ชัดเจนว่าการทำร้ายสัตว์ตามสมควรแก่กรณีเพื่อป้องกันอันตราย
               แก่ชีวิตหรือร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์อื่น หรือป้องกันความเสียหายที่จะเกิดแก่ทรัพย์สินนั้นไม่ถือว่าเป็นการ

               ทารุณกรรมสัตว์ ก็น่าจะเป็นผลดีกว่าเพื่อขจัดปัญหาที่จะต้องสงสัยตีความ และเป็นประโยชน์ในการสร้าง
               ความชัดเจนให้แก่ประชาชนในการทำความเข้าใจว่า การทำร้ายสัตว์ตามสมควรเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์นั้น
               สามารถกระทำได้โดยไม่เป็นความผิดกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาที่ปรากฎว่าประชาชนส่วนหนึ่งยังเข้าใจว่า ไม่สามารถ
               กระทำการใดๆ เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ที่เป็นอันตรายหรืออาจเข้ามาทำอันตรายได้เลย เพราะจะเป็น

               การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติฉบับนี้

                             นอกจากนี้ การกำหนดไว้ให้ชัดเจนเป็นทางเลือกว่าผู้ได้รับอันตรายจากสัตว์อาจจะเลือกวิธีการ

               ทำร้ายหรือฆ่าสัตว์นั้นก็ได้ ยังจะเป็นประโยชน์กว่าในการป้องกันชีวิตของสัตว์ และให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจได้ว่า
               การกระทำของคนที่อ้างว่ากระทำไปเพราะป้องกันอันตรายจากสัตว์นั้น กระทำไปพอสมควรแก่เหตุหรือไม่

               นอกจากจะฆ่าสัตว์นั้นแล้ว ผู้กระทำพอที่จะใช้วิธีทำร้ายสัตว์อย่างพอสมควรแก่เหตุเพื่อระงับเหตุหรือป้องกัน
               ภยันตรายจากสัตว์นั้นได้หรือไม่












                       ปัญหาเกี่ยวกับการใช้บังคับของพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรม และการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557
   101   102   103   104   105   106   107   108   109   110   111