Page 39 - kpiebook62016
P. 39
22
Schmitter และ Lawrence Whitehead ซึ่งศึกษาการเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการอ านาจนิยมในลาติน
อเมริกาและยุโรปใต้ และพบว่า ความขัดแย้งท่ามกลางชนชั้นน าสองกลุ่ม ได้แก่ สายพิราบ (Soft-
liners) ที่สนับสนุนรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย และสายเหยี่ยว (Hard-liners) ท้ายที่สุด
แล้วน าไปสู่การเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการอ านาจนิยมไปสู่ประชาธิปไตย ทั้งนี้ O’Donnell,
Schmitter และ Whitehead ระบุอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนผ่านทุกรูปแบบเต็มไปด้วยความไม่
แน่นอน บางประเทศอาจเริ่มจากการให้เสรีภาพ และน าไปสู่การตื่นตัวของภาคประชาสังคม บางกรณี
อาจจะเกิดขึ้นจากการล่มสลายของระบอบเผด็จการ จนน ามาสู่การเจรจาหาข้อตกลงร่วมกันในกลุ่ม
51
ชนชั้นน า และน ามาสู่กระบวนการเลือกตั้ง กระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ
1. จุดผกผัน (Transitory point) ปัจจัยที่ก่อให้เกิดสถานการณ์พลิกผัน เช่น เสื่อมความชอบธรรม
แพ้สงคราม แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้
2. กระบวนการเปลี่ยนผ่าน (Transitory process) การปฏิรูประบบการเมือง การออกแบบ
สถาบันการเมืองที่รองรับกลุ่มต่างๆ ไม่ให้ย้อนกลับ หักหลัง เพราะไม่คุ้มความเสี่ยง ดังนั้น บทบาทของ
สถาบันการเมืองจึงส าคัญมากที่จะไม่ให้เกิดการถดถอย เปลี่ยนใจของตัวแสดงหลัก ต้องให้น ้าหนัก
และพื้นที่ทุกกลุ่มใกล้เคียงกันเพื่อรักษาดุลและพลังอ านาจ
3. การรักษาระดับประชาธิปไตยหลังการเปลี่ยนผ่าน (System maintenance) เชื่อมโยงกับ
ประชาสังคมเพื่อขยายแนวร่วม สร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม การตรวจสอบ
วรรณกรรมรัฐศาสตร์ที่ศึกษากระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ระบุถึงตัวแปรส าคัญ
ที่เอื้อให้การเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้น และพัฒนาไปอย่างมั่นคงหลายตัวแปร เช่น Dankwart Rustow ให้
ความส าคัญกับเงื่อนไขที่เป็นภูมิหลัง (Background condition) นั่นคือ ความเป็นเอกภาพภายในชาติ
(National unity) อันเกิดจากความเชื่อมั่นของประชาชนต่อชุมชนทางการเมืองของตน และปัจจัยที่
Rustow ให้ความส าคัญมากคือ การเจรจาเพื่อให้เกิดการประนีประนอมระหว่างกัน และวิถีแห่งชีวิต
(Habituation phase) ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับพฤติกรรมของตัวแสดงทางการเมืองที่
ยอมรับวิถีประชาธิปไตย ข้อเสนอของ Rustow เน้นบทบาทของชนชั้นน า และเป็นเส้นทางที่มีลักษณะ
51
Guillermo O’Donnell and Philippe Schmitter, Transitions from Authoritarian Rule: Tentative Conclusion About Uncertain
Democracies (Baltimore: John Hopkins University Press, 1986), pp.19-21.