Page 97 - kpiebook62016
P. 97
80
ก่อนที่จะมีการส่งรายชื่อให้แก่ประธานาธิบดี ขณะที่ศาลพิพากษาคดีทุจริต (Anti-Corruption Court)
ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อพิพากษาคดีทุจริตโดยเฉพาะ ได้ก าหนดให้ศาลฎีกาคัดกรองผู้สมัครก่อนที่จะมีการส่ง
229
รายชื่อไปยังประธานาธิบดี
บทบาทของกองทัพ
การวางบทบาทของกองทัพอินโดนีเซียมีลักษณะส าคัญที่แตกต่างจากบทบาทของกองทัพใน
ประเทศอื่น กล่าวคือ กองทัพอินโดนีเซียมิได้ถูกคาดหวังให้ปฏิบัติหน้าที่ด้านความมั่นคงของประเทศ
เท่านั้น หากแต่กองทัพยังถูกคาดหวังให้เป็นผู้รักษาความมั่นคงของรัฐบาลด้วย ในสมัย
ประธานาธิบดีซูฮาร์โต แนวคิดดังกล่าวนี้มีชื่อว่า “หลักทวิภาระ” (Dwifungsi – Dual Function)
กล่าวคือ กองทัพจะต้องมีความรับผิดชอบทั้งในด้านการทหารและความมั่นคง ในด้านสังคมและ
230
การเมือง รวมถึงบทบาทในรัฐบาลและในกิจการทางสังคม นอกจากนี้ กองทัพอินโดนีเซียยังมี
บทบาทในทางเศรษฐกิจ จากธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมที่อนุญาตให้หน่วยทหารสามารถหาทุน
สนับสนุนตนเองได้เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนงบประมาณจนเกิดเป็นเครือข่ายผลประโยชน์
ภายใต้การน าของประธานาธิบดีซูฮาร์โต กองทัพเข้ายึดอ านาจการปกครองโดยสมบูรณ์ จากการแผ่
อิทธิพลอย่างทั่วถึงผ่านกลไกกองทัพภาค (regional military command) ท าให้กองทัพมีอ านาจเหนือ
ข้าราชการพลเรือนในพื้นที่ และน าไปสู่การแต่งตั้งนายทหารนอกราชการเข้ารับต าแหน่งในองค์กร
231
ปกครองส่วนท้องถิ่น ขณะที่ในระบบราชการ กองทัพได้กระชับการควบคุมด้วยการแต่งตั้งโยกย้าย
นายทหารรับต าแหน่งแทนข้าราชการพลเรือน ในทศวรรษที่ 1980 มีการประมาณว่าต าแหน่งราชการ
232
ระดับสูงกว่าครึ่งหนึ่งตกเป็นของนายทหารทั้งในและนอกราชการ ใน ค.ศ. 1982 มีการระบุหลัก
ทวิภาระในรัฐบัญญัติว่าด้วยกลาโหมและความมั่นคง และเมื่อพรรคการเมืองที่ยังคงหลงเหลืออยู่
เรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง กองทัพและรัฐบาลก็ตอบโต้ด้วยการตั้งพรรคโกลการ์ขึ้น โดยพรรคดังกล่าวมี
ฐานมาจากกลุ่มอาชีพและกลุ่มผลประโยชน์ที่จัดตั้งขึ้นด้วยการสนับสนุนจากกองทัพ สมาชิกของ
พรรคโกลการ์ประกอบด้วยทหาร ข้าราชการ และกลุ่มธุรกิจที่มีผลประโยชน์เชื่อมโยงกับรัฐบาล
นอกจากนี้พรรคโกลการ์ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณและการประชาสัมพันธ์จากรัฐบาล ส่งผลให้
229 Ibid., pp. 215-216.
230 Harold Crouch, Political Reform in Indonesia after Soeharto, op. cit., p.128.
231
Harold Crouch, ‚Indonesia,‛ op. cit., p. 61.
232 Michael R.J. Vatikiotis, op. cit., pp. 70 – 71.