Page 105 - kpiebook65020
P. 105
66
รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์
โครงการวิจัยเรื่อง “องค์ความรู้และเครื่องมือส าหรับการตรวจสอบความจ าเป็นในการตรากฎหมาย”
“มาตรา 5 หน่วยงานของรัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จ าเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุง
กฎหมายที่หมดความจ าเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการด ารงชีวิตหรือการ
ประกอบอาชีพ โดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน
ให้หน่วยงานของรัฐด าเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ได้โดยสะดวกและ
สามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ หน่วยงานของรัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของ
ผู้เกี่ยวข้องและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผล
การรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นแก่ประชาชน และน าผลนั้นมาประกอบการพิจารณาใน
กระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน
ในการจัดท าร่างกฎหมาย หน่วยงานของรัฐพึงใช้ระบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการ
เฉพาะกรณีที่จ าเป็น และพึงก าหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐและระยะเวลาในการ
ด าเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน รวมทั้งพึงก าหนดโทษอาญาเฉพาะความผิด
ร้ายแรง
ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับแก่การจัดท าร่างกฎตามที่ก าหนดในกฎกระทรวงด้วยโดย
อนุโลม”
นอกเหนือจากหลักเกณฑ์พื้นฐานในการหลักเกณฑ์การจัดท าร่างกฎหมายและการ
ประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นแล้ว พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดท าร่าง
กฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ยังมีสาระส าคัญดังต่อไปนี้
1) ก าหนดหลักเกณฑ์การจัดท าร่างกฎหมาย ได้แก่ การก าหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบ
ความจ าเป็นในการออกกฎหมาย การรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง และการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจ
เกิดขึ้นจากกฎหมายเพื่อประกอบการจัดท าร่างกฎหมาย และการเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการ
วิเคราะห์นั้นต่อประชาชน
2) ก าหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบเนื้อหาของกฎหมาย เกี่ยวกับระบบอนุญาต ระบบ
คณะกรรมการ การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ระยะเวลาในการด าเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ และการ
ก าหนดโทษอาญา เพื่อให้การตรากฎหมายเป็นไปโดยละเอียดรอบคอบ ไม่สร้างภาระต่อประชาชนเกินความ
จ าเป็น
3) ก าหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของ
กฎหมายภายหลังจากที่กฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อพัฒนากฎหมายให้ทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทที่
เปลี่ยนแปลงไป
4) ก าหนดกลไกเกี่ยวกับการเข้าถึงบทบัญญัติของกฎหมาย เพื่อก าหนดหน้าที่ของหน่วยงาน
ของรัฐในการด าเนินการเพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจและเข้าถึงบทบัญญัติของกฎหมายได้
5) ก าหนดกลไกการโต้แย้งหรือตรวจสอบบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีโทษทางอาญา โทษทาง
ปกครอง หรือสภาพบังคับที่เป็นผลร้ายอื่นแก่ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม เพื่อให้ศาลสามารถน ามาใช้ในการ
พิจารณาคดีได้