Page 119 - kpiebook65020
P. 119

80

                                                                                     รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์
                                     โครงการวิจัยเรื่อง “องค์ความรู้และเครื่องมือส าหรับการตรวจสอบความจ าเป็นในการตรากฎหมาย”


                              ข้อดีในการค านวณแบบ BEA คือ สามารถน าไปปรับใช้ได้กับนโยบายที่มีผลประโยชน์ในเชิง
               นามธรรม เช่น ประโยชน์ในทางศีลธรรม หรือ ประโยชน์ที่ไม่สามารถค านวณออกมาเป็นตัวเลขได้แน่ชัด เช่น
               จ านวนคนตายจากการด าเนินการตามนโยบาย หากนโยบายนั้นมีผลประโยชน์อื่น ๆ ที่เกินจุดคุ้มทุนแล้วตาม
               BEA แล้วก็ไม่มีความจ าเป็นที่จะต้องค านวณผลประโยชน์เชิงนามธรรมหรือที่ค านวณได้ยาก อย่างไรก็ตาม การ

               ค านวณแบบ BEA  ก็มีข้อเสียเหมือนการค านวณแบบ CBA  กล่าวคือ ยังไม่มีพิจารณาปัจจัยเรื่องการแบ่ง
               กระจายต้นทุนและผลประโยชน์ในแต่ละนโยบาย

                              2.4.1.3 การวิเคราะห์ประสิทธิภาพต้นทุน Cost-Effectiveness Analysis

                       การวิเคราะห์ ประสิทธิภาพต้นทุน หรือ Cost-Effectiveness  Analysis  (CEA)  เป็นการค านวณว่า
               นโยบายทางเลือกใดสามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยดีต้นทุนต่อหน่วยต่ าที่สุด CEA  เป็นค านวณอัตราส่วน

               ระหว่างต้นทุนและผลประโยชน์ตามสูตรการค านวณ CEA = cost (ต้นทุน) / benefit (ผลประโยชน์) CEA นั้น
               คล้ายกับการวิเคราะห์ BEA รวมถึงมีข้อดีและข้อเสียที่เหมือนกัน

                              2.4.1.4 การวิเคราะห์แบบพิจารณาหลายเกณฑ์ Multi-Criteria Analysis

                              การวิเคราะห์แบบพิจารณาหลายเกณฑ์ หรือ Multi-Criteria  Analysis  (MCA)  เป็นการ
               วิเคราะห์ที่มีการแสดงเหตุผลเชิงตัวเลขน้อยที่สุด กล่าวคือ แทนที่จะค านวณหาต้นทุนและผลประโยชน์เพื่อ
               วิเคราะห์เหมือนการวิเคราะห์อื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น MCA  เป็นการวิเคราะห์โดยการให้คะแนนถ่วงกับข้อดี

               และข้อเสียจากนโยบายแต่ละนโยบายจากนั้นจึงค านวณคะแนนที่ได้ในแต่ละนโยบายเพื่อเปรียบเทียบกัน
               MCA  นั้นแทบจะไม่ใช้ข้อมูลเชิงตัวเลขในการค านวณเลย ดังนั้นจึงสามารถน าไปปรับใช้กับนโยบายที่มีต้นทุน
               และผลประโยชน์ที่ค านวณออกมาเป็นตัวเลขได้ยากหรือขาดข้อมูล อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์แบบ MCA นั้น
               มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุดในบรรดาการวิเคราะห์ทั้งหมดเนื่องจากไม่ได้มีการให้เหตุผลเชิงประจักษ์

               เช่นเดียวกันการวิเคราะห์

                              2.4.1.5 การค านวณภาระในการปฏิบัติกฎหมาย (Standard Cost Model)

                              การค านวณภาระในการปฏิบัติกฎหมาย หรือ Standard Cost Model (SCM) ไม่ใช้วิธีการ
               คิดถึงต้นทุนหรือผลประโยชน์จากนโยบายทางเลือกแต่จะพิจารณาเฉพาะต้นทุนการท าตามกฎหมาย
               (Compliance Cost) ของผู้ที่ต้องท าตามนโยบายดังกล่าวเท่านั้น แล้วจึงเลือกนโยบายที่มีต้นทุนในการปฏิบัติ
               ตามต่ าที่สุดหรือน าตัวเลขที่ค านวณได้มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตตัดสินใจเลือกนโยบายที่มีความสอดคล้อง
                                                                   122
               กับการแก้ปัญหาและไม่สร้างภาระให้กับประชาชนมากเกินไป  การหาต้นทุนในการปฏิบัติตามค านวณมา
               จากระยะเวลาและราคาต้นทุนที่ประชาชนต้องใช้ในการท าตามกฎหมาย เช่น การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท มี
               ค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งคือค่าบริการจดทะเบียน ค่าเดินทางของผู้จด และมีจ านวนเวลาที่ต้องใช้คือ เวลาทั้งหมด

               ในการด าเนินการจดทะเบียน





               122
                  ใจใส วงส์พิเชษฐ, “Standard Cost Model: แบบการค านวณภาระในการปฏิบัติตามกฎหมาย”, กองพัฒนากฎหมาย
               ส านักงานกฤษฎีกา, (2562) สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563,   จาก https   ://   lawreform   .go.th
               /uploads/files/1520327 36-oz7k5-aldar.pdf?fbclid=IwAR2 3 WhntMAtCjD6    dgNlZUn8   RQXUkcdg
               EQ1NAZdOARXX_7_BSLMUZaLrZLdg.
   114   115   116   117   118   119   120   121   122   123   124