Page 225 - kpiebook65020
P. 225

186
                                                                                     รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์
                                    โครงการวิจัยเรื่อง “องค์ความรู้และเครื่องมือส าหรับการตรวจสอบความจ าเป็นในการตรากฎหมาย”

                       ด้วยเหตุนี้จึงจ าเป็นต้องการก าหนดให้อ านาจดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่รัฐนอกจากควรจะใช้อย่างจ ากัด
               แล้ว จึงควรต้องมีกรอบหรือขอบเขตในการใช้ดุลพินิจที่ชัดเจนและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์

               ของกฎหมายที่ให้อ านาจดุลพินิจนั้น โดยการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่จะต้องอยู่ภายใต้กรอบทางเลือก
               ระยะเวลา วิธีการ หรือขั้นตอนตามที่กฎหมายก าหนด และต้องพิจารณาเงื่อนไขที่กฎหมายก าหนดประกอบกับ
               ข้อเท็จจริงในการใช้ดุลพินิจด้วย กฎหมายฉบับใดที่ก าหนดให้อ านาจดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่ก็จะต้องก าหนด
               หลักเกณฑ์ตามลักษณะเฉพาะของเรื่องเพื่อใช้เป็นกรอบในการใช้ดุลพินิจไว้ด้วย

                       2.3.5 การก าหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง

                       ในปัจจุบันการใช้ประโยชน์จากโทษอาญาที่ก าหนดไว้กฎหมายต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่มีความไม่

               สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย เนื่องจากการก าหนดโทษอาญาบางประเภทไม่สมควรเป็นโทษอาญา
                                                                          70
               ท าให้เกิดปรากฏการณ์กฎหมายอาญาเฟ้อ หรือ Overcriminalisation  รวมไปถึงการก าหนดอัตราโทษไม่ได้
               สัดส่วนกับการกระท าผิด หรือในกฎหมายบางเรื่องมีการน าโทษอาญามาใช้โดยไม่เหมาะสมกับลักษณะ
                      71
               ความผิด
                       ดังนั้น การก าหนดโทษอาญาในกฎหมายจึงควรก าหนดเฉพาะในกรณีที่เป็นความผิดร้ายแรง โดย

               จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบและค านึงถึงสัดส่วนของอัตราโทษที่เหมาะสมด้วย

                       เพราะฉะนั้น การตรวจสอบเนื้อหาของกฎหมายจึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า นักกฎหมายส่วนใหญ่มักจะ
               คุ้นเคยกับการก าหนดมาตรการในกฎหมายภายใต้ข้อพิจารณาในทางหลักนิติศาสตร์  เช่น การใช้หลักความได้
               สัดส่วนระหว่างการจ ากัดเสรีภาพในการประกอบธุรกิจของประชาชนและวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การใช้
               หลักความพอสมควรแก่เหตุในการพิจารณาโทษหรือใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักการเหล่านี้ล้วนเป็นหลัก

               กฎหมายทั่วไปในการก ากับการใช้อ านาจของรัฐ  อย่างไรก็ดี หลักการพิจารณามาตรการในกฎหมายดังกล่าว
               ยังไม่สามารถช่วยหน่วยงานพิจารณาได้ว่ากฎหมายที่ต้องการจะออกนั้นเป็นกฎหมายที่ “ดี” หรือไม่ แนวคิด
               เกี่ยวกับการมีกฎหมายที่ “ดีและมีคุณภาพ” หมายถึง การมีกฎหมายเท่าที่จ าเป็น บรรลุวัตถุประสงค์ได้

               มีความชัดเจน และเข้าถึงเข้าใจได้ง่าย แนวคิดดังกล่าวจึงถูกน ามารวมไว้ในขั้นตอนการตรวจเนื้อหาร่าง
               กฎหมายตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดท าร่างกฎหมายฯ ควบคู่ไปกับหลักกฎหมายทั่วไป เพราะ
               กฎหมายที่ถูกต้องตามหลักนิติศาสตร์และชอบด้วยหลักการต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญ อาจไม่ใช่กฎหมายที่มี
               ประสิทธิภาพเสมอไป จึงอาจกล่าวได้ว่าการตรวจสอบเนื้อหาตามหลักการของมาตรา 77 ในรัฐธรรมนูญและ

               ในบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการจัดท าร่างกฎหมายฯ เป็นการผสมผสานมุมมองการตรวจพิจารณาร่าง



               70
                  S.H. Kadish, “The Crisis of Overcriminalisation,” (1968) American Criminal Law Quaterly 7:24.
               71
                 เช่น การน าโทษอาญามาใช้กับความผิดเกี่ยวกับการควบคุมทางเศรษฐกิจ หากก าหนดลักษณะการกระท าที่เป็นความผิดไว้
               ไม่ชัดเจน อาจท าให้เกิดความไม่ยุติธรรมต่อผู้กระท าผิด เนื่องจากการการกระท าทางเศรษฐกิจล้วนผูกโยงกับผลก าไรทางธุรกิจ
               จึงจ าเป็นต้องแยกแยะระหว่างการกระท าด้วยเจตนาที่ผิดกฎหมายและการกระท าธรรมดาทางเศรษฐกิจให้ชัดเจน การท า
               ความผิดทางอาญาในกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมทางเศรษฐกิจจึงต้องมีนัยทางศีลธรรมเพียงพอ,  see  S.H.  Kadish,
               “Some Observations on the Use of Criminal Sanctions in Enforcing Economic Regulations,” (1963) The
               University of Chicago Law Review, 3:30.A” Ashworth, “Conceptions of Overcriminalisation,” (2008) Ohio
               State of Criminal Law 5:4-7, 418-424.
   220   221   222   223   224   225   226   227   228   229   230